[ Chapter 12 ] เปิดเทคนิคการกระจาย Loss ด้วย Loss Cost Tree Diagram
สวัสดีทุกท่าน .. หลังจากที่ผมได้เขียนรายละเอียดเบื้องต้น ในส่วนของเสา FI และการใช้งาน Loss Cost Matrix ไปแล้วซึ่ง สามส่วนหลักของเสา FI คือ
1 Finding (ค้นหา)
2 Distribution (แจกจ่าย)
3 Improvement (ปรับปรุง)
ซึ่งในส่วนของ Finding หรือ การค้นหาผมได้อธิบายใน Chapter ที่ 11 ไปแล้วเดี่ยวผมจะแปะ Link ไว้ใต้บทความนี้ครับ
สำหรับ Chapter นี้ผมจะมาอธิบายเพิ่มเกี่ยวกับหลักการใช้งาน Loss Cost Tree Diagram ว่าหลังจากที่เราค้นหา Loss มาได้แล้วเราจะมีหลักการในการแจกจ่าย Loss ให้มีประสิทธิภาพที่สุดได้อย่างไร
** Loss Cost Tree diagram หลายที่อาจเรียกไม่เหมือนกัน เช่น Loss Tree diagram , Cost tree diagram , Logic tree เป็นต้น ***
โดยเริ่มจากข้อมูล Loss ที่สรุปออกมาจาก Loss cost matrix เป็นตัวเลข “จำนวนเงิน หรือจำนวนข้อมูลที่เป็นตัวเลขเจาะจงชัดเจนที่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้”
** BM = Benchmark : เกณฑ์การเปรียบเทียบข้อมูลที่สร้างมาเพื่ออ้างอิงที่มาของข้อมูลย้อนหลังโดยใช้ Base การคำนวณเดียวกัน
เมื่อเราได้ข้อมูลจาก Loss Cost Matrix ที่ชัดเจนแล้วว่าถูกต้องและอ้างอิงได้ ขั้นตอนต่อไปคือ ก็นำข้อมูล Loss มาเข้าในระบบ Diagram ของ Loss Cost Tree โดยผมจะอธิบายวิธีการนำข้อมูลมากระจายใช้งานดังนี้
1. กำหนดโครงสร้าง Loss Cost Tree โดยอ้างอิงจากโครงสร้างของต้นทุนที่สูญเสียใน Loss Cost Matrix วิธีการสร้างโครงสร้างสามารถสร้างได้ 2 รูปแบบ คือ
1) การตั้งโครงสร้างโดยอ้างอิงจากแกน X หรือ อ้างอิงจากโครงสร้างของ Loss
2) การตั้งโครงสร้างจากข้อมูลแกน Y หรืออ้างอิงจากโครงสร้างของ Cost รายละเอียดสามารถดูได้จากรูปประกอบด้านล่าง
การเลือกโครงสร้างจากแนวแกน X Y
รูปตัวอย่างที่ 1 จาก lean manufacturing online
รูปตัวอย่าง 1 โครงสร้าง Cost and Loss Tree diagram ตัวอย่างจะเป็นการนำโครงสร้างของต้นทุนในการมากำหนด diagram แต่จะมีข้อมูลในส่วน Loss และ Target มาด้วย โครงสร้างตัวนี้จะเป็นการแสดงข้อมูลที่เป็นการสรุปตัวเลขแต่ไม่ได้แสดงรายละเอียดว่ามีสาเหตุใดบ้าง ว่าสาเหตุย่อยสูญเสียเท่าไหร่
รูปตัวอย่างที่ 2
ตัวอย่างที่ 2 จะเป็นการกำหนดโครงสร้างโดยใช้ Loss structure มากำหนดเป็นตัวอย่างที่จะทำการ Breakdown ไปจนถึงระดับต่ำที่สุดของปัญหา (โทษครับลายมือสวยไปหน่อย)
อธิบายเพิ่มเติมตัวอย่างที่ 2 ในการแตก Loss Cost tree จากตัวอย่างที่ 2 จะเห็นว่ากราฟบนสุดจะเป็นภาพรวม loss ของโครงสร้าง Loss Cost Matrix ที่นำมาใส่ใน Loss Cost Tree Diagram ให้อยู่ในรูปแบบ Pareto graph ตามรูป โดยเราจะ Focus การแก้ไขตามสัดส่วนกฎเกณฑ์ของ Pareto 80:20 แก้ไขแค่ 20% ของปัญหา แต่สามารถ Cover loss ได้ถึง 80%
หลังจากการใส่ Loss เราสมมุติว่า Loss ที่เกิดขึ้นเกิดในเรื่อง Quality loss สูงที่สุด ดังนั้น ให้ทำการ Breakdown หรือเจาะข้อมูลในส่วน Quality loss ลงไปอีกว่า loss นั้นสูงที่จุดใดบ้าง จากรูปตัวอย่างเราพบว่าข้อมูลการ Breakdown ไปสูงที่ Plant A ก็ให้ทำการ breakdown ข้อมูลลงไปอีก ...เราก็จะพบว่า Loss เกี่ยวกับ Quality defect ไปสูงที่ Line การผลิต A และ D เป็นอันดับ 1 และ 2
ให้ทำการ Breakdown ลงลึกไปอีก จากรูปก็จะพบว่า Line มี Loss จากปัญหา Scratch defect สูงที่สุด เมื่อเรารู้แล้วว่าปัญหา Scratch คือปัญหาของไลน์ A ที่สูงสุดเป็นอันดับ 1 แต่ข้อมูลแค่นี้คงยังไม่พอที่จะนำไปแก้ไข ให้เราแตกปัญหา Scratch ลงไปอีกว่าการเกิด Scratch เกิดที่จุดไหนของชิ้นงานบาง เพราะแต่ละจุดแต่ละอาการย่อมเกิดมาจากคนละสาเหตุ เมื่อเรารู้จุดที่เล็กที่สุดแล้วให้ Focus และกำหนดทีมงานแก้ไขปัญหาให้เรียบร้อย โดยแจกจ่าย Theme ไปให้กับเสาที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการแก้ไขปรับปรุงต่อไป
** ทุกๆ หัวข้อที่อยู่ในกราฟของ Loss Cost tree เราจะต้อง Breakdown ในรูปแบบเดียวกันกับ Quality loss ทั้งหมด และทำการส่งต่อ แจกจ่ายให้กับเสาที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำปัญหานั้นๆ ไปแก้ไขและส่งผลที่แก้ไขกลับมา
** โดยการที่เราจะ Breakdown loss ของปัญหาได้เราจำเป็นต้องมีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ดีมากเลยทีเดียว นี่คือจุดที่ยากกว่าการ Breakdown นั้นก็คือการสร้างระบบเพื่อรวบรวมข้อมูล ซึ่งจากบริษัทที่ประสบความสำเร็จจะพบว่า Theme FI ที่มีการทำ หรือการแก้ไขปัญหาจากการ Breakdown และแจกจ่ายไปปรับปรุง สูงมากตั้งแต่ 500-1,000 theme/ ปีเลยที้ดียว โดยทุก Theme จะต้องไปแก้ไขและทำในส่วน Theme resolution ส่งกลับมาที่เสา FI ทั้งหมด