เมื่อแน่ใจแล้วว่าอุบาสิกานี้รู้วาระจิตของตนจริงๆ ท่านจึงกลับมาคิดใคร่ครวญว่า "กรรมนี้หนักหนอ ธรรมดาปุถุชน ย่อมคิดถึงอารมณ์อันงามบ้างไม่งามบ้าง ถ้าเราจักคิดสิ่งอันไม่สมควรแล้ว อุบาสิกานี้จะรู้ทันเราเหมือนจับโจรได้พร้อมด้วยของกลาง อย่ากระนั้นเลย เราควรหนีไปเสียจากที่นี้จะดีกว่า"
แล้วจึงลาอุบาสิกาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงแม้ว่าอุบาสิกาจะทัดทานให้อยู่ต่อก็ตาม เมื่อไปถึงพระพุทธองค์ได้ตรัสถามเธอว่า "ภิกษุ เธออยู่ในที่นั้นไม่ได้หรือ"
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่อาจอยู่ในที่นั้นได้" แล้วกราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ
พระบรมศาสดาตรัสว่า "ภิกษุ เธอควรอยู่ในที่นั้นแหละ" ท่านปฏิเสธว่าไม่สามารถอยู่ได้
พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า "เธอสามารถรักษาสิ่งหนึ่งได้ไหม"
แล้วตรัสต่อไปอีกว่า "เธอจงรักษาใจของเธอนั่นแหละ ธรรมดาใจดวงนี้บุคคลรักษาได้ยาก เธอจงข่มใจของเธอไว้ให้ได้ อย่าคิดถึงอารมณ์อะไรๆ อย่างอื่น ธรรมดาใจเป็นสิ่งที่บุคคลข่มได้ยาก เพราะว่าใจที่ฝึกดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้"
ในกาลจบพระธรรมเทศนา บริษัทที่มาประชุมกันเป็นอันมากได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน เป็นต้น จากนั้นได้ตรัสกับท่านอีกว่า "ไปเถิดภิกษุ เธอจงไปอยู่ในที่นั้นแหละ"
ภิกษุนั้นรับโอวาทจากพระบรมศาสดาแล้ว ได้กลับไปสู่ที่นั้น ไม่ได้คิดอะไรๆ อันเป็นเหตุให้คิดถึงสิ่งภายนอกเลย ฝ่ายอุบาสิกาเมื่อตรวจดูด้วยทิพยจักษุ ก็เห็นพระเถระนั้นกลับมา จึงจัดแจงอาหารอันเป็นที่สบายถวายอีก พระเถระนั้นได้โภชนะเป็นที่สบายเพียงสองสามวันเท่านั้น ก็สามารถกำจัดกิเลสอาสวะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ได้เสวยสุขอันเกิดแต่มรรคและผลนั้น จึงนึกขอบใจมหาอุบาสิกาผู้เป็นที่พึ่ง ได้ใคร่ครวญถึงอดีตชาติที่ผ่านมาว่า มหาอุบาสิกาท่านนี้เคยเป็นที่พึ่งให้แก่เราในชาติปางก่อนหรือไม่หนอ
เมื่อทำใจหยุดนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ พร้อมกับระลึกชาติย้อนหลังไปดูก็พบว่า นางเคยเป็นภริยาของท่านถึงเก้าสิบเก้าชาติ และเมื่อนางมีจิตปฏิพัทธ์ในชายอื่น ได้ปลงชีวิตท่านทั้งเก้าสิบเก้าชาติ พระเถระเห็นโทษของนางเช่นนี้ เลยคิดว่า น่าสังเวชมหาอุบาสิกาที่ได้ทำกรรมหนักเช่นนี้ ฝ่ายมหาอุบาสิกานั่งอยู่ในเรือน ได้ใคร่ครวญถึงกิจแห่งบรรพชิตของพระเถระว่า ถึงที่สุดหรือยัง ครั้นทราบว่าพระเถระได้บรรลุพระอรหัตแล้ว และยังทราบอีกว่า พระเถระได้ระลึกชาติไปเก้าสิบเก้าชาติ ขณะนี้กำลังสังเวชในกรรมหนักที่นางทำไว้ในครั้งนั้น