18 พ.ค. 2020 เวลา 13:50 • บันเทิง
"มหา'ลัย เหมืองแร่ "
หนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่ทำให้นึกถึงอดีตอันหวานขม
*ขออนุญาตนำรูปภาพมาประกอบการเล่าเรื่อง*
ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ภาพยนตร์เรื่อง "มหา'ลัย เหมืองแร่ เป็นภาพยนตร์ที่ได้ฉายในปี 2548 ซึ่งในตอนนั้นผู้เขียนยังเด็กมาก โอกาสที่จะได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้น้อยมากๆเพราะบ้านของผู้เขียนแทบจะเหมือนโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายทำในเรื่องก็ว่าได้ แต่ต้องยอมรับเลยว่า "การใช้ชีวิตของตัวละครในเรื่องนั้นดูโหดกว่าตัวผู้เขียนมากยิ่งนัก" กว่าจะได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ล่วงเลยมาเป็นสิบๆปี จนทำให้ต้องต่อว่าตัวเองยกใหญ่ที่พลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง...
ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยตัวเอกที่ชื่อว่า "อาจินต์" หนุ่มจากกรุงเทพถูกรีไทร์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่2 มาทำงานในเหมืองแร่แถวภาคใต้กับนายจ้างหนุ่มฝรั่งสัญชาติออสเตเลีย พร้อมกับเพื่อนร่วมงานชาวเหมืองที่มากหน้าหลายตา และทุกคนพร้อมจะเป็นบทเรียนที่สอนให้เขาเติบโตขึ้นเฉกเช่นการเรียนการสอนในรูปแบบมหาวิทยาลัย แต่หลักสูตรที่ว่านั้นคงต่างตรงที่ไม่ได้การันตรีว่าเขาจะประสบผลสำเร็จในฐานะนักศึกษาเกียรตินิยมหรือไม่ สำหรับอาจินต์นั้นการที่ได้เรียนรู้จากนายฝรั่งและเพื่อนๆร่วมงานก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองประสบผลสำเร็จในฐานะนักศึกษา"ชีวิต"ก็ดูไม่น่าเกลียดเท่าไหร่หรอก บทเรียนที่ได้เจอนั้นต่างหาก ที่ทำให้การศึกษานั้นดูมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ส่วนการเล่าเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ถ่ายทอดการทำงานของชาวเหมืองเเร่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเอาจริงๆเราก็รู้สึกชื่นชมในผลงานโปรดักชั่นสมัยก่อนมากเลย มันดีมาก ขนาดเราได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนปี63 ยังรู้สึกได้ถึงความเรียล และก็เสียดายมากๆที่ในตอนนี้วงการภาพยนตร์ของเราไม่ได้หลากหลายเหมือนแต่ก่อน ผู้ชมมีทางเลือกมากขึ้น ก็เข้าใจทุกอย่างแหละนะ ทุกอย่างก็ต้องทำตามความต้องการของตลาด ข้อนี้เราเข้าใจกันดี
ในตอนนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงแม้จะขาดทุน แต่เราก็ยังรู้สึกว่าตอนนี้มันมีคุณค่ามากเลยนะ เราหลงรักตัวละครทุกตัว ทุกตัวละครมันเรียลมากจริงๆ มุกตลกที่แทรกมาก็ทำให้รู้สึกตลกจริงๆ ไม่ใช่รู้สึกตลกแห้งๆฝืนๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือได้รู้ถึงกลไกการทำงานในเหมืองแร่จริงๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็แทบไม่มีสื่อเอาออกมาให้เห็น ความรู้เรื่องแร่ต่างๆก็แทบกลืนหายไปกับการเวลา แม้เราจะเคยเรียนมาตั้งแต่สมัยประถม แต่นั่นมันก็ใช้เวลามานานพอควร ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือ มันคงไม่ได้เล่าเรื่องราวอะไรหวือหวามากมายนัก แต่มันก็คือสิ่งที่บันทึกความเป็นทรงจำได้อย่างน่าประทับใจ
"เรียนเก่งแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับทำงานเป็นหรือเปล่า" ประโยคนี้ ชอบมากตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง
"อดีตคือความฝัน ปัจจุบันต้องอดทน อนาคตต้องตาย" ประโยคนี้โผล่มากลางเรื่องในช่วงที่ตัวเอกเจอคอนฟิกในชีวิต และสุดท้ายชายชราเพื่อนย้อมใจก็มาเปลี่ยนว่าสุดท้ายชีวิตของคนเรา กว่าจะตายก็คือต้อง"ทน" ใช่ แค่ทน เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น ฟ้าหลังฝนงดงามเสมอ ถึงแม้ว่าฝนมันจะตกแทบทุกวันก็ตาม แต่มันก็ปลอบใจได้ใช่มั้ยล่ะ
ขีวิตของคนเรากว่าจะปัง มันต้องเจอบททดสอบมากหน่อย ถึงจะรู้คุณค่าของความสำเร็จ ยาที่ขื่นขม ถ้ามันรักษาอาการเจ็บปวดของเราได้ก็ลองคิดว่ามันคือน้ำผึ้ง ชีวิตที่สดใสมันยังรอเราอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นก็พยายามมองความสุขเล็กๆข้างทางบ้าง ชีวิตของคนเรา มันอยู่ที่เราจะเลือกมอง
"กว่าจะปัง พังกี่ครั้งยังไงก็ต้องหาทางปังให้ได้"
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เราแนะนำนะ ลองเปิดใจดูเล่นๆเหมือนเราก็ได้ แล้วจะหลงรักไม่รู้ตัว
แด่....เพื่อนพ้องเหมืองแร่ปี63

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา