19 พ.ค. 2020 เวลา 11:29 • ธุรกิจ
A brief history of the last crisis
ประวัติโดยย่อของวิกฤตการเงินครั้งล่าสุด
ครั้งสุดท้ายที่เกิดวิกฤตการเงิน
เราต้องย้อนกลับไปในปี 2008
ซึ่งเเน่นอนคนส่วนใหญ่คงยังไม่ลืมมัน (รวมถึงตัวบังด้วย)
วิกฤตเศรษฐกิจที่เกือบจะพังระบบการเงินของทั้งโลก..
ก่อนเกิดวิกฤติปี 2008
อสังหาริมทรัพย์กลายเป็นทรัพย์สินหลักที่สร้างฟองสบู่ไปทั่วโลก
Central Banks ทุกแห่งทั่วโลกมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงมาเกือบถึงศูนย์
ซึ่งทำให้การกู้ยืมเงินเป็นเรื่องที่ง่ายเเละมีต้นทุนที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ
ในปี 2005 lenders offered mortgages
ผู้ให้กู้มีการเสนอสินเชื่อเงินกู้จำนองบ้านด้วยอัตราดอกเบี้ยเเค่ 0.9%
ซึ่งนั้นได้ส่งผลให้เกิด Demand ขนาดใหญ่ขึ้น
คนซื้อบ้านตกลงซื้อทันทีที่เห็นโครงการเข้ามาในตลาด
ราคาบ้านปรับตัวขึ้นสูง เเละเเน่นอนราคาบ้านได้ทำ all-time-high
ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นตลาดที่ร้อนเเรงในช่วงเเรกของปี 2000s
ธนาคารเริ่มมีการเสนอลดเงินดาวน์ จากที่เคยเรียกอยู่ที่ 20%
เเละเริ่มปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ที่มีเครดิตที่เเย่อีกด้วย
หลังจากนั้น ธนาคารก็เริ่มให้กู้เกิน 100% ของมูลค่าบ้านด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน แม้ว่าผู้กู้นั้นจะเคยมีประวัติการขาดผ่อนชำระก็ตาม
ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
มีอะไรที่ผิดปกติอยู่งั้นหรอ ??
Eventually the housing market went bust
ในที่สุด..ตลาดบ้านก็พังครืน
คนหลายล้านคนทั่วทั้งโลก พร้อมใจกันหยุดชำระหนี้จำนอง
ในช่วงเวลานั้น บ้านทั้งหลายที่ติดจำนองก็มีมูลค่าน้อยกว่าหนี้ที่ธนาคาร
รับจำนองไว้
ธนาคารกำลังเจอกับความเสียหายหลายล้านล้านดอลลาร์
มีหลายธนาคารล้มหายไปเลย
ระบบการเงินทั้งระบบก็เกือบล้มตามกันไป
มันคือการจุดชนวนวิกฤตการเงินที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์..
Asset prices everywhere crashed.
ราคาทรัพย์สินทั่วไปพังลงมาหมด
อสังหาริมทรัพย์
..ตลาดหุ้นทั้งโลกราคาดิ่งลงเหว
S&P 500 ของสหรัฐปรับตัวลดลงไป 57%
ความเสียหายในครั้งนี้มากกว่าการเติบโตที่ได้มาตลอดในช่วงเวลาสิบปี
commodities ก็ลดลงเช่นกัน
ตั้งแต่น้ำมัน ทองแดงไปถึงฝ้าย
แม้แต่ราคาทองคำและโลหะเงินก็ตกไปด้วย นักลงทุนก็อยู่ในอาการ Panic
หลายคนถูก forced sell ทุกอย่างในมือเพื่อหากระแสเงินสด
จากวิกฤตเเละการ Panic sell ในครั้งนั้น
ราคาของโลหะเงินจึงร่วงไปประมาณ 50%
ทองคำประมาณ 30%
เดือนตุลาคม 2008
governments เเละ central banks ทั่วโลก
ประกาศโปรแกรมการกระตุ้นเศรษฐกิจในเเบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์
ธนาคารกลางมีการพิมพ์เงินดอลล่าร์ ยูโร ปอนด์ เยน
นับหลายล้านล้านจากกลางอากาศ
At this point that both gold and silver began rising rapidly
เงินเฟ้อเริ่มพุ่งขึ้นจากผลของหนี้และปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น
ราคาอาหารและพลังงานปรับตัวสูงขึ้น
จากเดือนกันยายน 2010 ถึงมีนาคม 2011
ราคาน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้น 50% จาก $2.61 ไปเป็น $4
สำหรับคนทั่วไปนั้น..มันเจ็บปวดจริงๆ
เดือนมีนาคม 2011
ประธาน Fed นิวยอร์ค
แถลงข่าวยืนยันในเรื่องที่ทุกคนเป็นห่วงกันอยู่
เขาย้ำว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาที่ทุกคนต้องกังวล
เขาบอกว่า ราคา iPad 2 ยังต่ำกว่าราคา iPad 1 ด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาคิดว่า ราคาสินค้าก็กำลังจะลดลงนั่นเอง
มันเลยกลายเป็นที่รู้จักในฐานะคำพูด“ ให้พวกเขากิน iPad สิ”
When was the last time, sir, that you went grocery shopping?
“I can’t eat an iPad!” นี้คือคำพูดที่นักข่าวได้ถามกลับไป..
Real assets performed very well during this period
ทรัพย์สินที่เเท้จริงสร้างผลตอบเเทนที่ดีในช่วงเวลานี้
ตลาดที่อยู่อาศัยพังหนักอย่างรุนเเรง
พังขนาดที่ว่าราคาร่วงลงไปทั่วทั้งโลกอยู่หลายปี
ราคาเฉลี่ยของบ้านในสหรัฐไม่มีการปรับตัวสูงขึ้นเลย
จนกระทั่งถึงปี 2012 นานกว่า 4 ปีหลังจากเกิดวิกฤตในรอบนั้น..
กลับกันที่ดินเเละ farmland กลับให้ผลตอบที่ดีมาก
ราคาของโลหะมีค่าก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
ถึงแม้ว่ามันจะร่วงไปตอนช่วงเเรกของวิกฤต หลังจากนั้น
ราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นมากกว่าสองเท่า
ส่วนโลหะเงินมากกว่า 5 เท่า..
เเต่เราก็ไม่สามารถที่จะพูดได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแบบนี้จะเกิดซ้ำรอยอีกครั้ง
เพราะสถานการณ์มันแตกต่างกัน
เเต่กุญเเจสำคัญที่เหมือนกันระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินของปี 2008
และวันนี้คือคลื่นยักษ์ของหนี้และการพิมพ์เงิน
ทุกวันนี้ มีการพิมพ์เงินมากกว่าที่พิมพ์เมื่อปี 2008
เพราะว่า scope ของวิกฤตในครั้งนี้มันใหญ่กว่ากันเยอะ
ก่อนสิ้นปี 2019 ทั่วโลกมีหนี้รวมๆกัน $250 ล้านล้าน ซึ่งประกอบด้วยหนี้ของรัฐบาล หนี้ภาคเอกชน หนี้ส่วนบุคคล หนี้จำนอง เเละอื่นๆ
เเละถึงเเม้จะมีการลดขนาดของหนี้ก่อนใหญ่นี้ได้บ้าง
เเต่ความเสียหายที่จะเกิด
มันก็จะใหญ่กว่าเมื่อครั้งวิกฤตการเงินปี 2008 แน่ ๆ
That’s why the Federal Reserve has already printed $2.5 trillion
in the last two months alone.
แล้วนั่นก็คือเหตุผลที่ Federal Reserve ต้องพิมพ์เงินออกมาถึง $2.5
ล้านล้าน ในช่วงแค่สองเดือนเท่านั้น
พวกเขาพยายามที่จะปกปิดความสูญเสีย
และทำให้เรื่องโรคระบาดกระทบกับเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด
Fed นั้นยังได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงมาให้เหลือศูนย์
และตลาด Future ก็ได้คาดไว้แล้วว่าอัตราดอกเบี้ย
จะต้องติดลบก่อนเดือนมกราคม NEGATIVE by January
(อันนี้น่ากลัวมากครับ)
มันแน่ชัดแล้วว่าธนาคารจะพิมพ์เงินอีกไม่ว่าจะมากแค่ไหน
ก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตขึ้น
(stagflation) แบบที่เคยเกิดตอน 1970s
หรืออาจเป็นแบบที่เคยเห็นในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตครั้งล่าสุด(Subprime)
เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั้นมันมีมากมายเเละไม่มีใครบอกได้แน่นอน
But if history is any guide, real assets typically perform very well
when central banks print incomprehensible sums of money
แต่ถ้าจะให้ประวัติศาสตร์เป็นตัวชี้แนะล่ะก็
ทรัพย์สินแท้จริงจะให้ผลตอบเเทนที่ดีเยี่ยม
ในช่วงเวลาที่ธนาคารกลางต่างๆพิมพ์เงินออกมาอย่างมหาศาล...
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ
เพราะความรู้คือของขวัญที่ดีที่สุด📚
ตอนนี้บังได้สร้างซีรีส์อัลบั้มของบทความไว้เเล้ว
สำหรับคนที่สนใจสามารถติดตามอ่าน
ย้อนหลังได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยนะครับ
ถ้าตลาดหุ้นกำลังจะถล่ม
เราอยู่ในจุดที่ต่ำสุดเเล้วหรือยัง ?

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา