สำหรับศูนย์การวิจัยและพัฒนาของ Great Wall Motor ตั้งอยู่ใน 10 เมือง 7 ประเทศ ทั้งญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย ออสเตรีย และเกาหลีใต้ โดยมีจีนเป็นศูนย์กลางหลักที่ดูแลควบคุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั่วโลก
นอกจากการพัฒนารถยนต์ด้วยตนเองแล้ว Great Wall Motor ยังจับมือกับบริษัทรถยนต์รายอื่นเพื่อแชร์เทคโนโลยีและเร่งการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างการผนึกกำลังกับ BMW ที่ไม่เพียงผลิตรถยนต์ MINI เท่านั้น หากยังจะผลิตรถพลังงานไฟฟ้าในเครือ Great Wall สำหรับการทำตลาดเมืองจีนอีกด้วย
Great Wall มีเป้าหมายที่จะขายให้ถึงระดับ 2 ล้านคันในปี 2025 ดังนั้น Grear wall จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศในการเพิ่มยอดขาย โดย Great Wall วางแผนขยายฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอ้างอิง
1
GWM PICKUP
จากแถลงการณ์ของ General Motors ระบุว่า Great Wall จะใช้โรงงานดังกล่าวของ General Motors เป็นฐานในการผลิตเพื่อทั้งขายในไทยและส่งออกไปยังอาเซียนและออสเตรเลีย
ซึ่งรถรุ่นต่างๆ ในปัจจุบันของ Great Wall มีหลากหลายรูปแบบ แบ่งแยกตามเป้าหมายทางการตลาดได้แก่ ปิกอัพรุ่น Wingle Series และ P Series และ
รถยนต์เอสยูวีภายใต้แบรนด์ Haval ได้แก่
รุ่น F Series และ H Series
เรียกได้ว่ามีไลน์การขายครบทุกขนาด ด้วยความที่ประเทศไทยนั้นเป็นตลาดปิกอัพขนาด 1 ตันที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นอันดับ 2 ของตลาดปิกอัพรวมทั่วโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่ Great Wall จะสนใจเข้ามาลงทุนและทำตลาดในประเทศไทย ดังนั้นการมาในครั้งนี้ของ Great Wall น่าจะมีการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี เพราะการแข่งในตลาดรถยนต์ปิคอัพ ขนาดหนึ่งตันในประเทศไทยค่อนข้างจะเป็นโจทย์ยากพอสมควรสำหรับผู้ผลิตรายใหม่อย่าง Great Wall เห็นได้จากการถอนตัวของ GM จากประเทศไทย และยอดขายที่ไม่สู้ดีนักของ MG Extender
HAVAL F7 SUV
แต่ความน่าสนใจของ Great Wall อยู่ที่ความเชี่ยวชาญในการผลิตรถปิกอัพและเอสยูวี โดยเป็นบริษัทเอกชนที่ผลิตรถยนต์รายแรกที่จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน (บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในจีนส่วนใหญ่จะถือครองหุ้นโดยรัฐ) ดังนั้นการบริหารงานจึงมีความคล่องตัวกว่าแบรนด์อื่นๆ เห็นได้จากการเป็นแบรนด์แรกที่บุกทำตลาดในยุโรปและได้รับการตอบรับที่ดี
อีกความน่าสนใจของ Great wall คือมีแบรนด์
รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งทำตลาดแตกต่างจากหลายๆ แบรนด์ของ Great Wall คือ แบรนด์ ORA ซึ่งถูกวางตำแหน่งทางการตลาดเป็น “รถพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กเจนเนอเรชั่นใหม่” และ “รถพลังงานไฟฟ้าแนวบูติคอันดับหนึ่งของโลก” โดยมีการเปิดตัว ORA R1 Youth Edition เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่มีสไตล์เรียบง่ายแต่แตกต่างซึ่งต่อยอดจากรถอีวีรุ่นยอดนิยมอย่าง ORA R1 ขณะที่ ORA iQ Mobility Edition ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานแบบไรด์แชริ่งโดยเฉพาะ ORA ยังจับมือกับ Xiaomi เพื่อสร้างระบบการจัดการการใช้งานรถยุคใหม่ผ่านบริการอินเตอร์เน็ตออฟธิงส์หรือ IoT การเชื่อมต่อ 5G และการใช้งานปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เรียกว่านำเทคโนโลยีมาใส่ไว้ในรถยนต์อย่างเต็มพิกัดในอนาคต