21 พ.ค. 2020 เวลา 00:00 • ปรัชญา
## นิทานสอนใจจากลิงและลา...มุมมองสะท้อนความจริงที่มีอยู่ในองค์กรหลายที่ และถ้าไม่อยากเสียคนดี ๆ ไป ลองอ่านดูค่ะ ##
มาลองฟังเรื่องเล่าที่ให้ข้อคิดดี ๆ ของสัตว์แสนซนกันค่ะ
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม
ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา
วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร
ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้างเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อม
จนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย
ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป
ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัว ก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย
หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อม
จนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว
อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี
ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ
สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด
เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง
ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามา
เห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที
หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง
และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม
เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง คือ ตัวปัญหา
ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ
ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง
ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
จนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เธอทั้งหลาย...
เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก
เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย
ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ
แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้
ต้องการชี้ให้เห็นถึง “ความเป็นผู้นำ” ของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว
เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย
1
เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่
ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้ และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง
ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย
เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้
ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์"
ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่
แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม
1
ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง
พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง
1
นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้
ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย
นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลา อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย
ที่มา : นิทานสีขาว ( ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
นิทานเรื่องนี้เตือนใจได้ดีเลยค่ะ ว่ามั้ยยย
ปองอ่านแล้วได้ข้อคิดดี ๆ
เลยอยากเอามาแชร์ต่อให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน
จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่ในที่ทำงานหรอกนะคะ
แต่สังคมที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ก็เช่นกัน
หลายครั้งเราด่วนตัดสินปัญหาเกินไป...
อาจเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบตรงนั้น
หรือ ภาพตรงหน้ามันชวนให้คิดอย่างนั้น
ถ้าเรา...ไม่คิดให้รอบคอบพอ
ถ้าเรา...ไม่สำรวจความจริงให้มากพอ
เรามักพบกับความผิดพลาดได้ง่าย
มีสุภาษิตจีนเคยว่าไว้
“เวลาเหมือนดั่งน้ำไหล ผ่านไปไม่คืนกลับ”
การกระทำที่ผิดพลาดก็เช่นกัน
เราไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้
ก็เหมือนเจ้าของลาตัวนี้ที่อาจจะคิดได้
แต่ก็กลับไปปลุกชีวิตของลาน้อยคืนไม่ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว
ใช้ชีวิตอย่างมีสตินะคะทุกคน
ใครชอบแนวนี้ พิมพ์ “ชอบ” บอกกันหน่อยนะค้า
จะได้หานิยายข้อคิดแบบนี้มาให้อ่านในเพจอีกค่ะ
ติดตามบทความอีกช่องทางได้ที่
ด้วยความปรารถนาดี
The Wisdom Diary
#ข้อคิด
#การทำงาน
#องค์กร
#DWisdomDiary
แหล่งข้อมูล: แชร์จากไลน์
โฆษณา