23 พ.ค. 2020 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
เวสสันดรชาดก ตอนที่ ๑ ( ปฐมเหตุ )
เราได้ให้ทานภายนอก ทานนั้นหายังเราให้ยินดีไม่ เราใคร่จะให้ทานภายใน
แม้ถ้าใครๆ พึงขอหทัยของเรา เราจะพึงให้ผ่าอุระประเทศนำหทัยออก แล้วมอบให้แก่บุคคลนั้น
ถ้าเขาขอจักษุทั้งสองของเรา เราก็จะควักจักษุมอบให้ ถ้าเขาขอเนื้อในสรีระ
เราจะเชือดเนื้อจากสรีระทั้งสิ้นให้ ถ้าแม้ใครๆ พึงขอโลหิตของเรา เราก็จะพึงถือเอาโลหิตให้
หรือว่าใครๆ พึงบอกเราว่า ท่านจงเป็นทาสของข้าพเจ้า เราก็ยินดียอมตัวเป็นทาสแห่งผู้นั้น …
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม ตัวของเรา บุคคลอื่น หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ตาม ต่างอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง คือ ความไม่เที่ยง แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมทุกอนุวินาทีและ สูญสลายไปในที่สุด เพราะฉะนั้นเราควรแสวงหาสิ่งเที่ยงแท้ แน่นอน ที่จะนำความสุขและความบริสุทธิ์ที่แท้จริงมาให้เรา ด้วยการปฏิบัติธรรมในหนทางสายกลาง ทางเอกสายเดียว     ที่เรียกว่า เอกายนมรรค ที่มุ่งตรงสู่พระนิพพาน
*มีธรรมภาษิตใน เวสสันตรชาดก ว่า
"เราได้ให้ทานภายนอก ทานนั้นหายังเราให้ยินดีไม่ เราใคร่จะให้ทานภายใน แม้ถ้าใครๆ พึงขอหทัยของเรา เราจะพึงให้ผ่าอุระประเทศนำหทัยออก แล้วมอบให้แก่บุคคลนั้น ถ้าเขาขอจักษุทั้งสองของเรา เราก็จะควักจักษุมอบให้ ถ้าเขาขอเนื้อในสรีระ เราจะเชือดเนื้อจากสรีระทั้งสิ้นให้ ถ้าแม้ใครๆ พึงขอโลหิตของเรา เราก็จะพึงถือเอาโลหิตให้ หรือว่าใครๆ พึงบอกเราว่า ท่านจงเป็นทาสของข้าพเจ้า เราก็ยินดียอมตัวเป็นทาสแห่งผู้นั้น"
นี่เป็นถ้อยคำของนักสร้างบารมี ที่กลั่นออกมาจากใจของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ผู้สร้างมหาทานบารมีที่ทำให้หัวใจของมนุษย์ และเทวาทั้งหลายต้องหวั่นไหว เพราะท่านได้ทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ยากยิ่ง ให้ในสิ่งที่ให้ได้ยากยิ่ง ด้วยท่านรู้ว่าสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยากยิ่งกว่านั้นยังมีอยู่ คือ การได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้นเพียงแค่ท่านคำนึงถึงทานที่ได้ ที่เป็นไปในภายในเท่านั้น แม้มนุษย์ทั่วไปจะไม่สามารถรับรู้ถึงความคิดอันยิ่งใหญ่ของท่านได้ แต่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ว่า มหาปฐพี ซึ่งหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ กลับเลื่อนลั่นสนั่นหวั่นไหว เหมือนช้างตัวประเสริฐตกมันอาละวาดคำรามก้องป่า เขาสิเนรุราชก็โอนไปมา เหมือนหน่อหวายที่โอนเอนไปมา ฟ้าก็คะนองเลื่อนลั่น ตามเสียงแห่งมหาปฐพี ทำให้ฝนลูกเห็บตกลงมามากมาย    สายอสนีบาตซึ่งมีในสมัยมิใช่กาล ก็เปล่งแสงแวบวาบ สมุทรสาคร เกิดเป็นคลื่นปั่นป่วน ท้าวสักกเทวราชปรบพระหัตถ์ ท้าวมหาพรหมก็ให้สาธุการ เสียงโกลาหลเป็นอันเดียวกันได้มีตลอดถึงพรหมโลก
 
     เรื่องของพระเวสสันดรนี้ เป็นเรื่องราวการสร้างมหาทานบารมีของพระพุทธองค์ในสมัยที่ทรงเสวยพระชาติเป็น พระเวสสันดร ซึ่งพระองค์ทรงระลึกชาติย้อนหลังไปดู และได้นำมาตรัสเล่าให้ภิกษุสงฆ์ และพุทธบริษัท เพื่อเป็นกำลังใจ   ในการสร้างทานบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เรื่องพระเวสสันดรชาดกนั้น ได้รับการเล่าขานกันมายาวนานกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว ในหมู่ของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
 
    พระบรมโพธิสัตว์ได้ดำรงตนเป็นแบบอย่างนักสร้างบารมี ตั้งแต่ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา ก็แบพระหัตถ์ออก และกล่าวกับพระมารดาว่า"เสด็จแม่ มีสิ่งใดให้ลูกได้ทำทานบ้าง" นี่..พระองค์เกิดมาเพื่อการนี้ เพื่อบ่มบารมีให้แก่รอบ ครั้นพระชนมายุได้เพียง ๘ ชันษา ประทับอยู่บนปราสาทตามลำพัง ทรงคิดที่จะบริจาคทานว่า "เราพึงให้หัวใจ ดวงตา เนื้อ เลือด และร่างกายที่มีอยู่ทั้งหมดนี้ หากใครมาขอเรา ให้เราได้ยิน เราก็จะพึงให้ด้วยความยินดี" 
 
 เพราะฉะนั้น จึงถือโอกาสนำประวัติการสร้างมหาทานบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาให้นักสร้างบารมีทุกคนได้เรียนรู้กันเป็นตอนๆ ไป พร้อมกับให้แง่คิดมุมมองสอดแทรกเข้าไปตามสมควร จะได้มีกำลังใจในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
 
     ในสมัยปฐมโพธิกาลที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมใหม่ๆ นั้น พระองค์ได้เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร และชาวเมืองให้บรรลุธรรมกันมากมาย เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะรู้ว่า พระราชโอรสได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ส่งทูตมาถึง ๑๐ คณะด้วยกัน แต่ละคณะมีบริวาร ๑,๐๐๐ คน เพื่อกราบทูลอาราธนาให้เสด็จกลับไปที่กรุงกบิลพัสดุ์ แต่เมื่อมาแล้วได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันหมด จึงไม่ได้กราบอาราธนาให้พระพุทธองค์เสด็จกลับ อีกทั้งพระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ จนกระทั่งคณะทูตสุดท้ายได้มาเข้าเฝ้า และสดับพระธรรมเทศนาจนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้กราบอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จกลับไปยังกรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก
พระบรมศาสดาพร้อมด้วยเหล่าพระอรหันต์ ๒๐,๐๐๐ รูป ได้เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ เจ้าศากยราชทั้งหลายต่างมาประชุมพร้อมกันหมด เพื่อจะทอดพระเนตรสิทธัตถราชกุมาร   ผู้จากไปนาน พร้อมกับจัดพระราชอุทยานของนิโครธศักยราช อันเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ให้เป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ พร้อมด้วยเหล่าพระขีณาสพที่ติดตามพระองค์มาด้วย
เจ้าศากยะทั้งหลายซึ่งเป็นชนชาติถือตัว กระด้างเพราะมีทิฏฐิมานะ พากันคิดว่า สิทธัตถกุมารนี้เด็กกว่าเรา เป็นน้อง เป็นบุตรหลานของพวกเรา จึงไม่ยอมเข้าไปนั่งด้านหน้า แต่ให้ราชกุมารที่ยังหนุ่มๆ เข้าไปไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตัวเองไม่ยอมกราบไหว้ นั่งอยู่ด้านหลัง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้อัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น จึงดำริว่า จะให้พระญาติทั้งหมดไหว้ ครั้นทรงพระดำริดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จเหาะขึ้นในอากาศ และโปรยละอองธุลีพระบาทลงบนเศียรของพระประยูรญาติ จากนั้นทรงเนรมิตที่จงกรมในอากาศ ทรงทำปาฏิหาริย์ให้พระประยูรญาติได้เห็นกันทั้งหมด เพื่อทุกคนจะได้หมดทิฏฐิมานะ เหมือนกับที่ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ทำลายทิฐิมานะของพวกเดียรถีย์
พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์เช่นนั้น จึงตรัสว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันที่พระองค์ประสูติ พระพี่เลี้ยงได้เชิญพระองค์เข้าไปใกล้เพื่อให้นมัสการชฎิลชื่อ กาฬเทวละ ข้าพระองค์ได้เห็นพระบาททั้งสองของพระองค์กลับไปตั้งอยู่บนศีรษะของพราหมณ์ ครั้งนั้นข้าพระองค์ก็ได้กราบพระองค์ นับเป็นการกราบของข้าพระองค์ครั้งแรก
 
     ในวันวัปปมงคลแรกนาขวัญ ข้าพระองค์ได้เห็นเงาไม้หว้าไม่บ่ายไปแม้เวลาเคลื่อนคล้อย แต่กลับให้ร่มเงาแก่พระองค์ผู้นั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ตามลำพัง ณ พระยี่ภู่อันมีสิริใต้ร่มเงาไม้หว้า ข้าพระองค์ได้เห็นแล้ว เกิดความอัศจรรย์ใจ จึงเข้าไปกราบพระบาทของพระองค์ นี้เป็นการกราบของข้าพระองค์ครั้งที่  ๒  บัดนี้ ข้าพระองค์เห็นปาฏิหาริย์ ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน จึงได้กราบพระบาทของพระองค์ นี้เป็นการกราบครั้งที่ ๓ ของข้าพระองค์ผู้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิด แต่ก็ก้มกราบพระโอรสผู้มีบุญญาธิการ ได้สั่งสมบุญไว้อย่างดีแล้ว"
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะถวายบังคมแล้ว เจ้าศากยะทั้งหมด จึงไม่อาจทนนั่งนิ่งอยู่ได้ ต่างมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธองค์ ได้พร้อมใจกันถวายบังคม จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งเหนือบวรพุทธอาสน์ สิ่งมหัศจรรย์ซึ่งเป็นเหตุการณ์อันไม่คาดคิดมาก่อนก็บังเกิดขึ้นในขณะนั้น คือ ได้มีมหาเมฆตั้งขึ้นและยังฝนโบกขรพรรษให้ตก มีลักษณะไม่เหมือนน้ำฝนทั่วๆไป คือ มีสีแดง และผู้ที่ต้องการให้เปียกก็จะเปียก ถ้าไม่ต้องการให้เปียกก็ไม่เปียก เพราะฝนจะไม่ตกต้องกายของผู้นั้นแม้สักหยาดเดียว
มหาชนเห็นอัศจรรย์ดังนั้น ต่างเกิดความปลาบปลื้มปีติยินดี แม้ภิกษุสงฆ์ก็แซ่ซ้องสาธุในโรงธรรมสภาว่า "โอ น่าอัศจรรย์ จริง เรื่องไม่เคยมีมาก่อน เพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้า   อันไม่มีประมาณแท้ๆ มหาเมฆจึงทำให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาในสมาคมของพระประยูรญาติได้"
พระบรมศาสดาสดับดังนั้น จึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่มหาเมฆยังฝนโบกขรพรรษให้ตก แม้ในกาลก่อน ขณะเรายังเป็นโพธิสัตว์ มหาเมฆนี้ก็ยังฝนโบกขรพรรษให้ตกในสมาคมของพระญาติเหมือนกัน"
เมื่อภิกษุกราบทูลอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องในอดีตชาติ พระองค์ได้นำเรื่องเวสสันดรชาดกมาตรัสเล่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขอให้ติดตามกันต่อไป จะทยอยนำมาถ่ายทอดเป็นตอนๆ เพื่อจะได้มีกำลังใจในการสร้างความดี ให้ยิ่งๆ ขึ้นไปกันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก. เวสสันตรชาดก เล่ม ๖๔ หน้า ๕๙๙

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา