23 พ.ค. 2020 เวลา 02:45 • ความคิดเห็น
#จดหมายถึงลูกฉบับที่1
21 พ.ค.2563
กฤต...ลูกรัก
นี่เป็นจดหมายฉบับแรกที่พ่อเขียนให้ลูก อยากให้ลูกเซฟเก็บไว้ พ่ออยากให้ลูกได้รับรู้ผ่านตัวหนังสือในจดหมายว่า “ปู่ของลูกเป็นวีรบุรุษ” ขณะที่พ่อกดคีย์บอร์ดพิมพ์คำๆนี้ออกมา ก็มีหยาดน้ำตาเกาะที่ขอบตาของพ่อ
เริ่มแรกพ่อไม่ได้คิดว่าจะเขียนจดหมายถึงลูก แต่ก็มีเหตุการณ์ให้พ่อจะอยู่เฉยไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องปู่ของลูกไว้ให้ลูกได้รับรู้
เริ่มที่พ่อได้พาลูกไปสอบชิงทุนการศึกษาที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ซึ่งในส่วนนี้ลูกสามารถสอบได้ทุน เหลือเพียงรอส่งเอกสารแสดงว่าปัจจุบันลูกได้เรียนอยู่ ม.4 จริง ซึ่งต้องรอให้เปิดเทอมแล้วจึงขอใบรับรองได้
ระหว่างที่ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ อผศ. เกี่ยวกับเรื่องประวัติผู้รับทุน พบว่าปู่ของลูกเป็นทหารผ่านศึกเกาหลี ทาง อผศ.จึงแนะนำให้ทำเรื่องขอทุนการศึกษาจากสถานทูตเกาหลี ในใจพ่อคิดว่า”แล้วจะหาหลักฐานที่ไหนมาแสดง” แต่พ่อก็ไม่ได้ถอดใจละความพยายามในทางที่จะทำให้ลูกของพ่อได้มีหนทางเดินทางไปสู่การศึกษาที่สูงขึ้น พ่อได้โทรคุยของคำแนะนำจากเพื่อนที่ยังรับราชการอยู่ ในที่สุดก็ได้ช่องทาง คือ ให้ไปตรวจสอบราชกิจจานุเบกษาที่กรมสารบรรณทหารบก…..นั่นคือจุดเริ่มต้นของความหวัง
แต่พอได้อ่านในใบสมัคร มีอยู่หัวข้อหนึ่งเป็นหัวข้อที่ทำให้พ่อต้องหยุดคิดและทบทวนถึงคำบอกเล่าของปู่เกี่ยวกับสงครามเกาหลี หัวข้อนั้นคือ ทหารผ่านศึกเกาหลีได้ร่วมที่ยุทธการสำคัญ คือ ??????
นี่คือ จุดเริ่มต้นของพ่อที่มีโอกาสทำความรู้จักพ่อของตัวเอง รู้จักปู่ของลูกอย่างใกล้ชิด แบบสายตาของลูกคนหนึ่งที่มองผ่านไปในภาพอดีตของนักรบที่เป็นพ่อของตัวเอง ด้วยคำบอกเล่าของพ่อ ด้วยเอกสาร ด้วยอินเตอร์เนท ด้วยคำบอกเล่าเพื่อนในเฟซ ด้วยหนังสือ ด้วยบทกลอน ทำให้พ่อได้สร้างตัวตนของปู่ในมโนสำนึกของพ่อ
พ่อไม่มีคำตอบเลยลูกรัก….. มันสะท้อนว่าพ่อรู้จักพ่อของตัวเอง รู้จักปู่ของลูกน้อยมาก น้อยเกินไป เสมือนพ่อมองไม่เห็นวีรบุรุษของตัวเอง มันเป็นเรื่องเศร้าใจลึกๆ ในหัวใจของพ่อ ลูกรู้ไหมว่าปู่ไม่เคยบอกรักพ่อออกมาจากปาก และพ่อก็ไม่เคยบอกรักปู่จากปากของพ่อเองเหมือนกัน แต่เราทั้งสองคนก็รู้อยู่ว่าเรารักกัน
จนวาระสุดท้ายของปู่ของลูกก็มาถึง มาถึงโดยตัวพ่อเองไม่มีโอกาสบอกรักจากปากของพ่อที่ปู่เคยป้อนข้าวให้ในยามหิว พ่อรู้สึกเสียใจและเสียดายเวลาที่ผ่านมา ถามตัวเองว่าทำไม "กูไม่บอกรักพ่อกูซักครั้ง"
ปู่ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หากพ่อมิได้ทำสิ่งนี้ นั่นคือ พ่อกำลังทำให้ปู่ตายเป็นครั้งที่สอง
ปู่ของลูกชื่อ ยุ้ย นรสิทธิ์ เป็นชาวอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เป็นบุตรของนายน้อย และนางแถม นรสิทธิ์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2474 ไม่ทราบวันและเดือนเกิด วิถีชีวิตของปู่เป็นแบบลูกชาวนาทั่วไป คือ ทำนาทำไร่ และมีความสามารถทางงานช่างไม้ติดตัว
ปี พ.ศ. 2495 ปู่อายุครบ 21 ปี ต้องเกณฑ์ทหาร และปู่ก็จับได้ใบแดงต้องเป็นทหารเกณฑ์ ผลัดที่ 1 ประจำการที่ กรมทหารราบที่ 11 สะพานแดง บางซื่อ กรุงเทพฯ
สงครามเกาหลีเริ่มต้นขึ้นเมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น 11ค่ำ เดือน 8 ปีขาด เป็นวันที่ 25 มิถุนายน 2493 (1950) จนถึงวันจันทร์ แรม 1ค่ำ เดือน8หน้า8หลัง ปีมะเส็ง วันที่ 27 กรกฎาคม 2496 (1953)
ปู่ของลูกได้ร่วมในสงครามครั้งนี้
ลูกจะเห็นว่าระหว่างที่ปู่เป็นทหาร เป็นช่วงสงครามเกาหลีพอดี ราบ 11 ได้รับคำสั่งจากกองทัพบกให้เป็นเจ้าภาพในการจัดกำลังเข้าร่วมกับสหประชาชาติในการปกป้องอธิปไตยของสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ในรูปแบบ กรมผสมที่ 21 และปู่ก็เป็นพลทหารอยู่ที่ราบ 11 พอดี จึงได้มีโอกาสที่ชายไทยได้เกิดมาสักชาติแล้วได้ไปร่วมในสมรภูมิอันทรงเกียรติครั้งนี้
ซึ่งหลังจากสมรภูมิเกาหลีแล้ว นอกจากทหารไทยที่ไปร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ฝรั่งเศสเท่านั้น ที่ทหารไทยต้องว่ายน้ำข้ามทะเลไปรบ ห่างบ้าน ห่างคนที่รัก ห่างสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย หนาวก็หนาวจนแทบขาดใจ โหดร้ายจนแทบจะกลืนกินความเป็นมนุษย์ไปสิ้น สงสารในสิ่งที่คนชาติเดียวกันเข้าเข่นฆ่ากันด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน พี่ต้องพรากจากน้อง พ่อแม่ต้องพรากจากลูก สภาพเมืองที่ทิ้งไว้เพียงแค่ผู้หญิง เด็ก และคนแก่ ที่ต้องดูแลกันเอง
พรุ่งนี้พ่อจะเขียนถึงลูกใหม่นะ
กบ ธรรมกิจ
โฆษณา