"ไปลูกกลับบ้านเรา!" คำพูดสั้น ๆ ของผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังสะพายกระ เป๋าเสื้อผ้าใบเก่า ๆ ก้าวเดินออกจากโถงห้องศพที่ทำให้ผมและพี่บ๋อน้ำตา เอ่อแบบไม่ได้นัดกัน ย้อนไปเกือบสองชั่วโมงก่อนหน้านั้นพี่บ๋อเดินมาบอกว่ามีโทรศัพท์จากตึกผู้ป่วยแจ้งว่ามีศพเด็กอายุ 2 เดือนญาติจะขอรับศพกลับต่างจังหวัดปลายทางคือจังหวัดพิจิตแต่ญาติไม่มีตังค์ขอให้เราช่วยอนุเคราะห์ ในการจัดการศพด้วย เราจึงดำเนินการ
ตามขั้นตอนเพื่อขอยกเว้นค่าฉีดยาศพ (ฟอร์มาลิน) จำนวน 500 บาท (ตอน นั้นที่หน่วยยังไม่มีกองทุนช่วยเหลือใด ๆ) จากนั้นพี่บ๋อก็ดำเนินการฉีดน้ำยา รักษาสภาพศพเช่นเดียวกันกับศพผู้ใหญ่แต่ใช้น้ำยาในปริมาณที่น้อยกว่า เรียบร้อยเราก็รอญาติมาติดต่อรับ
อีกไม่นานนักก็มีผู้ชายวัยกลางคนสวมกางเกงขายาวสีหม่นและเสื้อยืดสี หม่นไม่แตกต่างจากสีของกางเกงเดินเข้ามาติดต่อขอรับศพน้อง...แล้วเขาก็ยื่นกระเป๋าเสื้อผ้าที่สะพายมาให้กับเราแล้วพูดว่า “ ช่วยเอาศพลูกผมใส่ใน กระเป๋าใบนี้ด้วยครับ ผมจะพาเขานั่งรถทัวร์กลับบ้าน” เราสองคนได้ยินก็ถึง กับอึ้งเพราะไม่เคยเจอกรณีพาศพขึ้นรถทัวร์มาก่อน เคยมีบ้างที่ให้ศพนอน ในรถแบบไม่ใส่โลงเพราะที่วัดมีโลงรออยู่แล้วแต่การขนส่งก็ล้วนมิดชิดและ เป็นรถส่วนตัวต่างจากรายนี้ที่จะนำน้องเดินทางโดยรถสาธารณะเสี่ยงเป็น อย่างมากที่จะโดนไล่ลงกลางถ้าคนขับหรือคนในรถรู้ เราเลยตกลงทำตาม ความประสงค์ของผู้เป็นพ่อ และด้วยความสงสารเห็นน้องไม่มีชุดใส่ มีเพียง ผ้าห่อศพหนึ่งผืนของโรงพยาบาลเท่านั้น มีร้านขายของร้านใหญ่มีของทุก อย่างทั้งของเยี่ยม ดอกไม้ ของกิน ของใช้ รวมถึงเสื้อผ้าเด็กด้วย ผมก็เลย ไปซื้อชุดมา ตังค์ก็ไม่ค่อยมีหรอกแต่มันปล่อยผ่านไปไม่ได้จริง ๆ วิ่งไปซื้อ เองทั้งเสื้อ กางเกง หมวก รองเท้าครบชุด ลายหมีพูจัดว่าหล่อเลยล่ะ หมด ไป 300 กว่าบาทได้มาก็จัดแจงเปลี่ยนชุดให้น้อง ก่อนเอาลงในกระเป๋าเราก็ ใช้ผ้าห่อศพผืนใหม่ห่อทับกัน 2 ชั้นป้องกันให้กลิ่นออกน้อยที่สุด เสร็จแล้ว พอเปิดกระเป๋าใบนั้นก็ต้องสะท้อนใจอีกครั้งเพราะเจอเพียงเสื้อหนึ่งตัวกับผ้าห่มหนึ่งผืนเท่านั้นซึ่งน่าจะเป็นชุดที่มานอนเฝ้าภรรยาและลูกนั่นแหละผมก็ ขยับเสื้อไปที่มุมกระเป๋าและเอาผ้าห่มออกมาพี่บ๋อก็ยกศพน้องลงไปวางแล้วใช้ผ้าห่มคลุมทับอีกทีจากนั้นก็รูดซิปปิดและนำศพออกมาจากห้องตกแต่ง ศพเพื่อไปส่งมอบให้พ่อที่รอรับอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า
และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องมอบศพให้ญาติ เราก็นำกระเป๋ายื่นให้เขา......และเขาก็ยื่นมือมารับอย่างช้า ๆ พร้อมกับพูดว่า "ไปลูก!กลับบ้านเรา".........
ผมกับพี่บ๋ออึ้ง...น้ำเอ่อล้น...ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปาก มีเพียงน้ำตาที่ มันพยายามไหลออกมาจากตาของเราทั้งสอง
สุดท้ายก่อนจากกันเราถามเค้าว่า "จะไปขึ้นรถที่ไหน"
"หมอชิต"เขาตอบ
"จะไปยังไง" เราถามต่อ
"นั่งแท๊กซี่" เขาตอบพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งลูบไปบนกระเป๋าที่สะพายอยู่บนบ่า
ผมกับพี่บ๋อเรารวมเงินกันได้เพียง 400 บาท เพื่อเป็นค่ารถให้กับเขา เสียดายที่เราทำได้เพียงเท่านั้น! แต่ก็ไม่นึกเสียใจเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการดี ๆ อีกมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อศพยากไร้ ลาก่อนนะ เด็กน้อยชาวพิจิตร
…………………................................................................................................................
เช้าวันนั้นเราทำงานตามปกติก็ได้มีผู้หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมเดินขึ้นมาติดต่อขอรับศพลูกที่เสียชีวิตไปเมื่อ 3 เดือนก่อน เราก็ขอรายละเอียดชื่อ นามสกุล วันที่เสียชีวิตพอตรวจสอบก็พบว่าศพเด็กรายนี้อายุประมาณ 1 เดือน ญาติได้มอบศพให้โรงพยาบาลผ่าศึกษาและให้ทางโรงพยาบาลจัดการศพ ต่อตามความเหมาะสมได้เลย เราก็เลยถามเธอว่า
“อ้าว...พี่มอบศพให้โรงพยาบาลจัดการไม่ใช่เหรอครับ”
“ค่ะ” เธอพูด “แต่น้องไปเข้าฝันหนูเป็นเดือน ๆ และบอกว่าแม่จ๋าหนูหนาว หนูคิดถึงแม่” “หนูสงสารลูกอยากพาลูกกลับบ้าน”
เราเข้าไปค้นหาศพรายดังกล่าวสักพักก็เจอและกำลังรอที่จะส่งมอบให้มูลนิธินำไปฝังสิ้นเดือนนี้ จึงได้จัดการแพ็คศพและส่งมอบศพให้เธอนำกลับไปบำ เพ็ญกุศลตามที่เธอและลูกต้องการ