24 พ.ค. 2020 เวลา 10:20 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
โลกคู่ขนานคืออะไร? มิติที่แตกต่างมีจริงหรือไม่
1
โลกคู่ขนาน โลกอีกด้านที่ดำเนินควบคู่ไปกับโลกของเราในทิศทางที่ตรงกันข้าม เราสามารถไปอยู่หรือมองเห็นมันได้หรือไม่ วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้หรือไม่ หรือมันเป็นแค่เรื่องเหนือจินตนาการและความรู้ของมนุษย์เรา
1
Cr.https://www.freepik.com
โลกคู่ขนาน คือแนวคิดตามสมมติฐานว่ามีเอกภพ จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เกิดขึ้นและสลายไปอยู่ ตลอดเวลา (รวมถึงเอกภพของเราเป็นหนึ่งในนั้น) ซึ่งประกอบด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นจริงทางกายภาพ เช่น กาล อวกาศ รูปแบบทุกชนิดของสสาร พลังงาน โมเมนตัม และกฎทางฟิสิกส์รวมถึงค่าคงที่ต่างๆ ยืนอยู่บนทฤษฏีทางฟิสิกส์ 3 ทฤษฎีคือ ทฤษฎี String Theory, ทฤษฎีเอกภพขยายตัว และทฤษฎีสสารมืด (Dark matters)
     มิติในทางฟิสิกส์ไม่ได้หมายถึงมิติลี้ลับ แต่หมายถึง Dimension ในภาษาอังกฤษซึ่งมีความหมายทางคณิตศาสตร์ อย่างเช่น จุด มีมิติเป็นศูนย์ เส้นตรงก็มี 1 มิติ ส่วนพื้นที่เป็น 2 มิติ และปริมาตร 3 มิติก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยมีกว้าง ยาว สูง อวกาศหรือที่ว่างที่เราเห็นนั้นเป็น 3 มิติ การเคลื่อนที่ของวัตถุนั้นนอกจากขึ้นกับพื้นที่แล้วยังขึ้นอยู่กับเวลาด้วยซึ่งในทางคณิตศาสตร์นับเป็นอีกมิติหนึ่งได้กลายเป็น 4 มิติที่เรียกว่า “สเปซ-ไทม์” (space time) หรือ กาล-อวกาศ ค.ศ.1921 ธีโอดอร์ คาลูซา (Theodor Kaluza) สันนิษฐานว่ากาล-อวกาศมี 5 มิติ ซึ่งมิติที่เกินมานั้นเรียกว่ามิติพิเศษ (extra-dimension) ซึ่งคาลูซาต้องตอบให้ได้ว่ามิติดังกล่าวหายไปไหน และเขาก็มีกลวิธีในการอธิบายว่ามิติดังกล่าวขดตัวอยู่ (Compactify) กลายเป็นมิติที่เล็กมากจนมองไม่เห็น เปรียบเทียบการขดดังกล่าวเหมือนการขดกระดาษเป็นทรงกระบอก หากรัศมีของการขดสั้นกว่าความยาวคลื่นของแสงจะไม่สามารถสะท้อนเป็นภาพออกมาให้มองเห็นได้ ซึ่งนักฟิสิกส์ก็พยายามจะพิสูจน์ว่ามิติดังกล่าวมีจริงหรือไม่ มีการทดลองยิงอนุภาคด้วยเครื่องเร่งอนุภาค “แอลเอชซี” (LHC: Large-Hadron Collinder) ของห้องปฏิบัติการเซิร์น (CERN) อันเป็นองค์กรการวิจัยด้านนิวเคลียร์ ตั้งอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยตามหลักกลศาสตร์ควอนตัมต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาลเพื่อทำให้อนุภาคที่สามารถเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคนั้นมีความยาวคลื่นสั้นลง จนเล็กพอที่จะเห็นมิติที่ขดซ่อนอยู่ได้
14
Cr.https://www.freepik.com
โลกคู่ขนานแบบควอนตัม (quantum parallel universe) ซึ่งพัฒนามาเมื่อประมาณ ค.ศ.1957 โดยนักฟิสิกส์ชื่อ ดร.ฮิวจ์ เอเวอร์เรต (Dr.Hugh Everett) เพื่อแก้ปัญหาทางเทคนิคในทฤษฎีควอนตัมด้วยการสมมติว่ามีโลกคู่ขนานอยู่ การวัดสำหรับควอนตัมเป็นเรื่องของโอกาสและความเป็นไปได้ของความจริงต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน โดยทุก ๆ เหตุการณ์ใดที่มีทางเลือกมากกว่าหนึ่ง จะเกิดเหตุการณ์ในทิศทางตรงการข้ามขึ้นมาเสมอและแตกตัวออกไปไม่รู้จบ เช่น เมื่อถึงทางแยกซ้ายและขวา แล้วคุณจะต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง  เมื่อในโลกของคุณ คุณเลือกที่จะไปทางซ้าย ในอีกโลกคู่ขนานจะเลือกในทิศทางตรงกันข้ามโดยเป็นความจริงที่เกิดขึ้นทั้งสองโลก แล้วถ้าหากเป็นแบบนั้น จะทำให้เกิดคำถามขึ้นอีกว่า หากเราย้อนกลับไปในอดีตเพื่อแก้ไขบางสิ่งบางอย่างที่เคยทำผิดพลาด อนาคตของเราจะเปลี่ยนไปหรือไม่ คำตอบคือไม่เปลี่ยน เพราะถึงเราจะย้อนกลับไปเพื่อบอกให้ตัวเองเลือกอีกอย่างหนึ่ง อนาคตของเราก็จะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะทุก ๆ เหตุการณ์ จะเกิดเหตุการณ์ในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ คือ หากคุณย้อนกลับไปบอกตัวคุณในอดีต ให้เลือกอีกทาง คนที่เลือกในทิศทางตรงกันข้ามในวันนั้นไม่ใช่ตัวคุณในวันนี้ในมิติปัจจุบันที่คุณอยู่ หากแต่เป็นตัวคุณที่จะเลือกในทิศตรงกันข้ามอยู่แล้วในเหตุการณ์วันนั้นซึ่งเกิดผ่านมาแล้ว ฉะนั้นอนาคตของคุณก็จะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นโลกคู่ขนานกับที่คุณอยู่นั้นเอง
3
Cr.https://www.freepik.com
โลกคู่ขนานในทฤษฎีสตริง อนุภาคถูกอธิบายว่ามีลักษณะเป็นเส้นเชือกหนึ่งมิติ โดยการสั่นของเส้นเชือกนี้ทำให้เกิดเป็นตัวโน้ตต่างๆ ตัวโน้ตหนึ่งตัวสามารถแทนอนุภาคได้หนึ่งตัว ตัวโน้ตที่ต่างคีย์กันก็จะให้อนุภาคที่ต่างชนิดกัน ในการที่จะให้ทฤษฎีสตริงมีคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสม นักฟิสิกส์พบว่าจำนวนมิติของเอกภพจะต้องมีถึง 10 มิติคือ เวลาหนึ่งมิติและอวกาศอีก 9 มิติ ยิ่งไปกว่านั้นในในทฤษฎีเอ็ม (M-theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่พัฒนาต่อมาจากทฤษฎีเส้นเชือก กาล-อวกาศอาจจะมีได้ถึง 11 มิติ คือเวลา 1 มิติและอวกาศอีก 10 มิติ แต่ในเอกภพของเรานั้น เราสังเกตจำนวนมิติได้เพียงแค่ 4 มิติ ทฤษฎีสตริงจึงอธิบายว่ามิติที่เกินมาหรือมิติพิเศษ (Extra dimension) นั้นขดตัวอยู่โดยที่ขนาดของมันเล็กมากจนเราไม่สามารถสังเกตได้
    โลกคู่ขนานที่พัฒนามาจากการศึกษาจักรวาลวิทยา (cosmology) หรือการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดและวิวัฒนาการของเอกภพ ได้อธิบายว่าจุดกำเนิดของเอกภพเริ่มมาจาก “บิ๊กแบง” แต่เนื่องจากความรู้ที่เรามีอยู่จำกัดในปัจจุบันทำให้เราไม่สามารถเข้าใจการกำเนิดของเอกภพได้ดีนัก อังเดร ลินเด (Andre Linde) นักฟิสิกส์จึงได้เสนอทฤษฎีโลกคู่ขนานแบบ “บับเบิล” (bubble universe theory) แนวคิดของทฤษฎีดังกล่าวว่าภายหลังเหตุการณ์บิ๊กแบง เอกภพมีพลังงานและความหนาแน่นสูงมาก และกาล-อวกาศมีความผันผวนสูงมากคือมีความไม่ต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะมีการสั่นอย่างรุนแรง คล้ายกับระลอกคลื่นแล้วมีฟองผุดขึ้นมา หากการสั่นดังกล่าวรุนแรงมากอาจทำให้กาล-อวกาศบางส่วนหลุดออกมา จากการศึกษา กาล-อวกาศมีลักษณะเป็นแผ่นเรียบคล้ายผิวน้ำ เมื่อเกิดเหตุการณ์บิ๊กแบง การระเบิดครั้งใหญ่ ส่งผลให้กาล-อวกาศ เกิดการบิดเบี้ยวหรือกระเพื่อมอย่างรุนแรง ทำให้กาลอวกาศบางส่วน กระเด็ดหลุดออกจากแผ่นกาลอวกาศโดยร่วมเรียกว่า “ควอนตัมโฟม” (quantum foam) หรือ “ควอนตัมบับเบิล” (quantum bubble) บับเบิลพวกนี้มีโอกาสเกิดได้หลายฟอง เหมือนฟองอากาศหลาย ๆ ฟองที่เกิดจะคลื่น โดยแต่ละฟองก็เจริญเติบโตไปเป็นจักรวาลที่ต่างกัน เป็นอีกจักรวาล อีกเอกภพที่ต่างกัน ทุกวันนี้จักรวาลของเราก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นๆ ถ้าตามทฤษฎีนี้ก็อาจจะมีจักรวาลอื่น แต่ว่าจักรวาลอื่นอาจจะมีค่าคงที่ทางฟิสิกส์ซึ่งไม่เหมือนกับเราเลย เช่น ประจุอิเล็กตรอนอาจจะไม่เท่านี้ ค่าคงที่แรงโน้มถ่วงของนิวตันอาจจะเปลี่ยนไป หรือว่าจำนวนมิติของเอกภพอาจจะไม่เท่ากับ 3+1 แต่เป็น 1+1 อะไรอย่างนี้ มันมีโอกาสจะเกิดได้ต่าง ๆ กัน
3
Cr.https://www.brighttv.co.th/news/global/pararell-universe
ล่าสุด นิตยสารวิทยาศาสตร์ New scientist เปิดเผยว่ากลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของนาซ่า เคยพบปรากฏการณ์ ที่ชี้ว่าอาจมีโลกคู่ขนาน ที่เวลาสามารถเดินย้อนหลังได้การค้นพบดังกล่าวมีขึ้นเมื่อทีมนักวิจัยของนาซ่าในแอนตาร์กติก หรือขั้วโลกใต้ได้วิจัยในปฏิบัติการ Antarctic Impulsive Transient Antenna โดยทีมนักวิจัยได้ใช้บอลลูนติดเสาอากาศเพื่อสแกนหาอนุภาคพลังงานสูง ที่เป็นคุณลักษณะของเทหวัตถุนอกโลก ที่อาจปรากฏในผิวน้ำแข็งในขั้วโลกใต้ ทีกนักวิจัยเคยทำการทดสอบนี้มาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่เคยพบอะไรในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังเจอสัญญาณที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่หลังได้ตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่เพิ่มเติมและสัญญาณที่ถูกมองข้ามไป  ทีมนักวิจัยก็พบว่าสัญญาณที่รบกวนเหล่านั้น เป็นสัญญาณของอนุภาคพลังงานที่สูงกว่าปกติ ที่จะเกิดจากการตกหรือแผ่มายังอวกาศสู่พื้นโลก แต่สิ่งที่ประหลาดคือลักษณะของสัญญาณกลับไม่เหมือนอนุภาคพลังงานสูงทั่วไป แต่คล้ายกับการพุ่งจากโลกไปสู่อวกาศ การค้นพบของอนุภาคแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2016 หลังจากที่ทีมนักวิจัยได้เผยแพร่งานวิจัยดังกล่าว พร้อมกับนำหลักฟิสิกส์ และทฤษฎีต่างๆมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ แต่ก็ไม่มีทฤษฎีใดที่สมเหตุสมผลเลย เพราะเหตุผลเดียวที่อธิบายได้คือต้องมีการยอมรับว่ามีจักรวาลคู่ขนาน ที่เกิดร่วมกับการระเบิดครั้งใหญ่ หรือบิ๊กแบง ซึ่งทำให้เกิดจักรวาลที่เรารู้จัก โดยจักรวาลคู่ขนานนี้มีลักษณะตรงข้ามกับจักรวาลที่เราอยู่ทุกอย่าง คือบวกเป็นลบ ลบเป็นบวก ซ้ายเป็นขวา ขวาเป็นซ้าย และเวลาก็เดินย้อนกลับหลังด้วย อย่างไรก็ตามทุกอย่างเป็นเพียงแนวคิดและทฤษฏี ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างแน่นอนแท้จริง คงต้องรอเวลาให้การทดลองและการพิสูจน์นั้นเห็นผลได้อย่างแท้จริง
3
โฆษณา