24 พ.ค. 2020 เวลา 12:02 • ประวัติศาสตร์
อาลัว...ลูกสาวแม่ท้าวทอง ❤❤
อันตัวฉัน นั้นมี หลากหลายสี
ส่วนหัวนี้ มัดเป็นจุก ไม่มีผม
เด็กเด็กชอบ มักหยิบ ไปลิ้มชม
เปนขนม ไทยประยุกต์ แต่โบราณ
ด้วยความจริง ตัวฉันมา จากเมืองเทศ
โปรตุเกส แม่ท้าวทอง ท่านสร้่างฉัน
ให้มีชื่อ มีเสียง เทียบเคียงกัน
แล้วให้ขาน นามฉัน ว่า " อาลัว "
ในสมัย สมเด็จ นารายณ์เจ้า
ฉันได้เข้า เฝ้าพำนัก บุญญาสม
พระทรงโปรด เสวยฉัน แล้วพลันชม
เป็นขนม ที่เลิศรส เจ้าอาลัว
ฉันขึ้นแท่น เทียบเคียง กับเพื่อนพ้อง
ทั้งพี่ทอง ม้วน-หยิบ สังขยา
อีกทั้งยัง มีพี่ หม้อแกงมา
จนได้กลาย เป็นฉายา ขนมวัง
มาถึงยุค สมัย ในการณ์นี้
อาลัวยัง อยู่ดี เกษมสันต์
ยังคงเป็น ขนมไทย ที่กินกัน
อยู่ทั่วพลัน ทั้งเด็กน้อย ผู้ใหญ่มี
โถ่ไอจ้อย อย่ากัด ตรงจุกนี้
ผมไม่มี ตัวก็สั้น เจ็บจริงหนอ
ถ้าจะกัด ก็ให้กิน ทั้งตัวรอ
โอ้ละพ่อ ใยมากัด แต่จุกฉัน
ไอจ้อยบอก ก็จุกแก ช่างน่ากัด
ขันชะมัด ขนมนี้ แปลกจริงหนอ
สร้่างมาเหมือน หัวหอมที่ ไม่มีคอ
งั้นฉันขอ หัวร่อ สักทีเอย
ภาพจาก : ครัวป้ามารายน์
หลายๆท่านคงคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้าขนมสี colorfull หน้าตาเหมือนหัวหอมนี้อย่างดีเลยทีเดียว ด้วยสีสันที่สวยสดงดงามน่าดึงดูดใจชวนให้รับประทานนี้เอง ฉันจึงขอเดาว่า.....คนทำคงต้องสวยมากไม่แพ้สีของเจ้าขนมหัวหอมนี้แน่ๆ
ฉันได้ยินข่าวจากพี่ผิน พี่แย้มมาว่า เพลานี้มีสาวสวยจากบ้านนายฝาหรั่งมาหาแม่หญิงการะเกดคนดีคนเดิมของพี่หมื่นถึงเรือนเลยทีเดียว
สายเผือกร้อนๆหอมกรุ่นจากเตาอย่างฉันมีหรือจะพลาด 55555 ต้องตามไปดูหน่อยแล้ว ว่าระหว่างฉันกับแม่หญิงผู้นั้น ใครกันนะ ที่กระจกวิเศษจะยอมบอกว่า งามเลิศที่สุดในปฐพี !!! 🌼🙋
ดีไม่ดีวันนี้แม่การะเกดได้กุ้งเผามา จะได้ชวนฉัน แม่หญิงอาลัวเผือกร้อน กินกันให้แสบๆถึงพริกถึงขิง แล้วนั่งเม้ามอยถึง cute boy กรุงศรีต่อสักครึ่งค่อนวันอีกด้วย 555
ทุกคนพร้อมที่จะจับมือกระโดดน้ำคลองไปกินกุ้งเผาที่บ้านแม่การะเกดกับฉันหรือยัง ??? หลับตา นับ 1 2 3 แล้วกระโจนลงพร้อมกันนะ..... นึง ส่อง ซั๊มมมมมม !!! ตู้มมมมมมม 💦
ภาพจาก : Pottoday.com
นั้นไง !!!! นางกำลังย่างกุ้งอยู่จริงๆด้วย // ว้ายยยย ตกใจหมด !! พี่แย้ม มาทางด้านหลังเงียบๆ
ห้ะ !! อะไรนะ กุ้งนี้แม่นายย่างให้สาวงามคนนั้นเอากลับไปกินที่เรือน มีไม่พอสำหรับฉันผู้ซึ่งมาพลอยกินข้าวเรือนคนอื่นทุกวันงั้นรึ !! ไม่ได้การละ ฉันต้องไปพบแม่หญิงคนนั้นให้ได้ เป็นใครกันถึงมาแย่งกุ้งฉันไปกิน 😡😡😡
ภาพโดย : MThai.com
โห !!! ผู้หญิงอะไรสวยราวกับนางฟ้า แบบนี้ฉันคงโกรธไม่ลงสะแล้วสิ 555 แล้วนั้นท่านกำลังทำอะไรหรือคะ ?? ฉันถามแบบเฝ้าสงสัย ....แม่หญิงบอกฉันว่ากำลังสอนแม่นายการะเกดทำ " ขนมอาลัว" 😱😱
ก่อนอื่นแม่นายแนะนำให้ฉันรู้จักกับท้าวทองกีบม้า หรือมารี กีมาร์ (มารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา) หรือแม่มะลิ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของแม่นาย ท่านเป็นสุภาพสตรีช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นภริยาแสนสวยของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ หรือคอนสแตนติน ฟอลคอนนั่นเอง
ภาพโดย : หนังสือท้าวทองกีบม้า ของคุณศึกเดช กันตามระ
ตำแหน่งท้าวทองกีบม้านั้นมาจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้นวิเสทในราชสำนัก และท่านผู้นี้เองที่ได้ประดิษฐ์คิดค้นขนมไทย โดยได้รับอิทธิพลมาจากอาหารโปรตุเกส เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองม้วนและหม้อแกง จนได้รับสมญานามว่าเป็น " ราชินีแห่งขนมไทย " สาเหตุของความอ้วนของฉันจนทุกวันนี้ เพราะขนมที่ท่านคิดค้นนั้น ล้วนเลิศรสน่าลิ้มลองอย่างไม่รู้จบยิ่งนัก 5555555
เดิมทีท่านเป็นชาวคริสเตียนเชื้อสายโปรตุเกส เบงกอลและญี่ปุ่น ที่อพยพมาจากอาณานิคมโปรตุเกสกับพ่อซึ่งเป็นพ่อค้า จากการเบียดเบียนศาสนาในญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2135
เมื่อครั้งที่แม่มะลิ อายุได้ 16 ปีก็ได้สมรสกับเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ขุนนางชาวกรีกคนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนแรกพ่อของแม่มะลิไม่ได้ถูกใจในตัวลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่ท่านฟอลคอนก็ได้แสดงถึงความจริงใจที่มีต่อลูกสาวโดยเปลี่ยนนิกายตามแม่มะลิ จนพ่อใจอ่อน ❤❤
สาเหตุที่ท่านได้เข้ารับราชการที่ห้องเครื่องต้นนั้น เนื่องจากสามีของท่านต้องโทษและโดนประหารชีวิต ( ขอไม่กล่าวถึงสาเหตุนะคะ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม ) 🙏🙏 ท่านจึงถูกส่งตัวเข้าวัง แรกๆก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ด้วยความสามารถและอุปนิสัยจนเป็นที่รักใคร่แก่ทุกคน ทำให้บั้นปลายชีวิตสุขสบาย
เมื่อครั้งที่ได้เข้ารับราชการในห้องเครื่องต้นก็ได้สร้างสรรค์ขนมหวานขึ้นมาหลายชนิด โดยผสมผสานความรู้ทางด้านการทำอาหารให้เข้ากับวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น และยังถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกด้วย ( เขาเรียกกันแบบนี้มั้ยคะ 5555 ) จนท่านถึงแก่กรรมตอนอายุ 66 ปี แต่ขนมของท่านที่ได้รับการถ่ายทอดต่อๆกันมา ก็ยังได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้ ❤
1 ในขนมทั้งหมดที่ท่านคิดค้น นั้นคือ " ขนมอาลัว" นั้นเอง แถ่ แด๊นนน ~ 🎉🎉🎉🎉 จุดพลุ
ขนมอาลัวมีลักษณะกรอบนอกนุ่มใน มีสีสันที่เป็นที่ดึงดูด จึงไม่แปลกใจเลยว่า...ทำไม ? คำว่า " อาลัว " จึงแปลว่า เสน่ห์ดึงดูดแก่ผู้พบเห็น
ขนมอาลัว เป็นขนมหวานที่ทำจากแป้ง ลักษณผิวด้านนอกจะเป็นน้ำตาลแข็ง ด้านในเป็นแป้งหนืด มีกลิ่นหอมจากน้ำกะทิอบควันเทียน
อาลัวมี 2 ชนิด ได้แก่ อาลัวชาววัง และ อาลัวจิ๋ว ซึ่งอาลัวชาววังจะมีขนาดใหญ่กว่า แต่รูปลักษณ์และสีสันที่ดึงดูดใจนั้นกลับไม่แตกต่างกัน
บางครั้ง...ฉันก็แอบคิดว่า ชีวิตคนเรานั้นก็เปรียบเสมือน "ขนมอาลัว" อยู่นะคะ
มีสีสันมากมาย ในขนมชนิดเดียว ก็เหมือนชีวิตที่มีสีสันมากมายหลายรสชาติตั้งแต่เกิดจนโต ทุกข์ สุข สมหวัง ผิดหวัง
อีกทั้งขนมอาลัวมันกัดแล้วเหมือนจะแข็ง แต่จิงๆไส้ในมันนุ่ม ก้อเหมือนฉันที่แข็งนอกอ่อนใน
ทั้งยังหลายสี แล้วแต่คนจะชอบ แล้วแต่จะเลือกหยิบกินสีไหน เหมือนคนที่ยุ่รอบๆตัวเรา เลือกมองเรามุมไหน เลือกมองเราเปนสีส้มก้อได้ ทั้งๆที่เราสีเหลือง หรือจะมองเราเป็นสีขาวทั้งๆที่เราสีน้ำตาล......
แต่จะสีไหนก้อสามารถอร่อยและสามารถไม่อร่อยได้ทุกสีแล้วแต่คนจะชอบ เช่น บางคนบอกว่าสีขาวอร่อยแต่สีเหลืองไม่อร่อย ....ในมุมกลับกัน อาจจะมีคนอื่นที่คิดว่าสองสิ่งนี้สลับกันก็ได้
ก็เหมือนบุคลิกของคนเรา บางคนมองว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่ในขณะที่อีกคนกลับมองว่าสิ่งนี้ล้วนก่อให้เกิดปัญหาตามมา จนรู้สึกว่าฉันไม่โอเคที่คุณเป็นแบบนี่เลยค่ะ 555 ไม่ใช่ว่าสิ่งไหนดีกว่าหรือแย่กว่า เพราะดีและไม่ดี ไม่ได้มีเกณฑ์อะไรมาเป็นตัวชี้วัดที่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับความสบายใจของเราและคนรอบข้าง มุมมอง ทัศนคติ ว่าพวกเขาอยากให้เราเป็น " อาลัวสีอะไร " 🌼😊
สุดท้ายนี้....เขียนมาสะยาวเลย 5555 ขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านเป็นอย่างสูงนะคะที่สละเวลามาอ่านจนจบ
และกราบขออภัยที่เขียนสะยาวเลย 55 ขอบพระคุณนะคะ 🙏😍😍
โฆษณา