24 พ.ค. 2020 เวลา 13:10 • ไลฟ์สไตล์
คำบอกเล่าที่ไม่มีใครสนใจ
สมัยที่ฉันเป็นเด็ก...ฉันเรียนสาย ‘วิทย์-คณิต’ ค่ะ นั่นเลยทำให้ฉันต้องเรียนวิชาเคมีไปด้วย
เอาจริงๆ...วิชาเคมีนี่ก็เป็นวิชาที่ฉันชอบเรียนนะคะ...และในปัจจุบัน...วิชานี้ก็ส่งผลต่อหน้าที่การงานของฉันอยู่มากเหมือนกัน...
และ...หากว่าฉันจะมองจากวันนี้แล้วมองย้อนกลับไปยังวันนั้น...ในวันที่ฉันต้องเริ่มเรียนพื้นฐานของวิชาเคมีเป็นครั้งแรก...สิ่งที่ฉันอยากจะขอบคุณมากที่สุด คืออาจารย์ผู้สอนค่ะ
อาจารย์ที่สอนเคมีของฉันคนแรก...บอกกับฉันว่า สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดในวิชาเคมี รวมไปถึงในเรื่องอื่นๆในชีวิต คือพื้นฐาน...
หากฐานไม่แน่นยอดก็มิสิทธิ์จะล้มครืน....
และหากฐานไม่แน่นก็ยากที่จะต่อยอดขึ้นไปให้สูง...
ซ้ำร้ายหากฐานไม่แน่น...แล้วอยากที่จะต่อยอดให้สูง...
นั่นก็อาจหมายความถึงการที่เราจะต้องย้อนกลับมารื้อฐานเสียใหม่เพื่อที่จะปูฐานมันให้แน่นกว่าเดิม
อาจารย์บอกฉันว่า.....มันเสียแวลา...สู้ทำให้ดีแต่แรกไปเลยน่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่าและประหยัดเวลากว่า...
และฉันก็เชื่อในสิ่งที่อาจารย์บอกฉันในวันนั้นมาตลอดเหมือนกัน
น่าแปลกที่คำพูดแสนเรียบง่าย ไร้ซึ่งคำคมสละสลวย หรือสัมผัสอักษรสระที่สวยงามอะไรเหล่านั้นยังคงฝังอยู่ในหัวของฉันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
และดูเหมือนว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้น....มันจะเป็นจริงเสียด้วย...เป็นจริงในชีวิตฉันนี่แหละค่ะ
เคยได้ยินคำว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างพวกเรา…ควรมีเงินเก็บอย่างน้อย 6 เดือนไหมคะ...
คิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง...แต่บางคนอ่านเป็นแค่การฟังแล้วรับรู้และจบลงเพียงแค่นั้น....
ตอนที่ฉันเริ่มสนใจเรื่องของการเงินแบบจริงจัง...มันเริ่มต้นจากการเก็บเงินให้เพียงพอสำหรับการใช้ช่ายหกเดือนนนี่แหละค่ะ...
หากถามถึงแรงบันดาลใจในก้าวแรกของการสนใจเรื่องการเงินส่วนบุคคลว่ามาจากอะไร...ฉันคงต้องตอบตามตรงค่ะ...
ว่ามันมาจากการที่ฉันมีเงินเก็บในธนาคารอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นเงินฝากแบบออมทรัพท์ธรรมดาทั่วไป
แล้วฉันสงสัยว่ามันสามารถที่จะทำให้เกิดผลงอกเงยอะไรขึ้นมาได้บ้างไหม...เพราะรูสึกเหมือนข้าวของมันจะแพงขึ้นไปในทุกวัน
ในตอนนี้ความรู้สึกของฉันก็ยังไม่เปลี่ยนนะคะ...ข้าวของเครื่องใช้ยังคงปรับราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ...
แม้ว่าตอนนี้ทั่วทั้งโลกจะอยู่ในสภาวะวิกฤติจากโรคระบาดอย่าง covid-19 อยู่ก็ตามที
นั่นเลยทำให้ฉันเริ่มหาทางค่ะ...ว่าฉันควรที่จะทำอะไรกับเงินก้อนนั้นดี...และด้วยพื้นฐานของการที่ฉันเองนั้น เป็นคนที่ไม่หวือหวา และให้ความสำคัญกับเรื่องของการวางรากฐานมากๆ นั่นเลยทำให้ฉันไมได้สนใจในเรื่องของการลงทุนในกองทุนหรือหุ้นอะไรพวกนั้น...
ฉันเริ่มจากการเก็บเงินสดสำรอง 6 เดือนค่ะ
เริ่มต้นจาการคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดเลยค่ะ...ว่าในแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง.....
พออ่านมาถึงตรงนี้หลายคนเริ่มคิดใช่ไหมคะ ว่าฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า ว่าฉันมีค่าใช้จ่ายเท่าไร
ไม่ยากค่ะ...ถ้าอย่างนั่น ลองใจเย็นๆแล้วลองเริ่มจากการจดบัญชีรายรับรายจ่ายก่อนดีไหมคะ....
ฉันแนะนำให้ทำบัญชีรายรับรายจ่าย...สักเดือนหนึ่งสำหรับคนที่ไม่มีปัญหาหาเรื่องการชัหน้าไม่ถึงหลัง
แต่ ...สำหรับคนที่มักจะมีปัญหาเรื่องเงินรายได้ไม่พอกับรายจ่ายเป็นประจำ ฉันแนะนำว่าให้ทำอย่างน้อยสามเดือนค่ะ...และให้ทำแบบละเอียดด้วย
ในตอนนี้มีแอปพลิเคชั่นมากมายในเรื่องนี้...คุณไม่จำเป็นต้องซื้อฟังก์ชั่นเพิ่มเติ่มให้เปลืองเงินด้วยค่ะ...
ใช้ฟังก์ชั่นพื้นฐานธรรมดาทั่วไปได้เลย...เพราะตอนที่ฉันทำบัญชีรายรับร่ายจ่ายในตอนเริ่มแรก ฉันก็ใช้ของฟรีที่มีทั่วไปนี่แหละค่ะ (ตอนนั้นใช้แอปพลิเคชั่นรูปหมูน้อย ลองปหาดูนะคะว่าเป็นตัวไหน)
จากนั้น คุณก็ตอ้งพยายามมีวินัย...บันทึกค่าใช้จ่ายของตัวเองไปเรือยๆค่ะ...เดี่ยวคุณก็จะเจออะไรบางอย่างค่ะ...
อย่างฉัน ฉันจะเห็นว่าตนเองมีค่าใช้จ่ายที่สามารถลดทอนลดได้...เช่น ค่าหนังสือ ที่ซื้อมาเยอะมาก..ซื้อแล้วเอามากองไว้ไม่ยอมอ่าน จนต้องหยุดซื้อหนังสือไปพักใหญ่เพื่อที่จะมากอ่านหนังสือที่ดองเอาไว้นั่นแหละค่ะ
แถม...ในตอนนี้เราก็จะได้รู้ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของตัวเองแล้วนะคะ...ว่ามีเท่าไร...ทีนี้ ถ้าหากว่าเรามีค่าใช้จ่าย 20,500 บาทต่อเดือน ฉันจะตีเผื่อๆไว้ค่ะ ว่า 22,000 อะไรราวๆนี้ (เผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาดนะคะ)
ค่าใช้จ่ายที่ว่านี่ เราต้องลากมาทุกอย่างนะคะ ไม่ว่าจะเป็น
-ค่ากิน
-ค่าเดินทาง
-ค่าบ้าน
-ค่ารถ
-ค่าน้ำมัน
-ค่าให้เงินพ่อแม่
-ค่าให้เงินลูกเมีย
-ค่ารักษาพยาบาล
-ค่าเอนเตอร์เทนส่วนตัว
ใส่ให้หมดทุกอย่าง อย่างละเอียดค่ะ เราจะได้ทำงานให้จบเพียงครั้งเดียว
จากนั้นเราก็เริ่มเก็บเงินเลยค่ะ...ได้น้อยได้มากไม่เป็นไร...ได้เดือนเท่าไรก็ค่อยๆเก็บไป โดยที่เป้าหมายในการเก็บเงินของเราอยู่ที่ ค่าใช้จ่าย ต่อเดือน x 6
อย่างตัวอย่าเมื่อครู่นี้ คือ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 22,000 ก็เอาไป x 6 ก็จะได้เป้าหมายเป็น 132,000
พอมาถึงตรงนี้ หลายคนเริ่มร้องค่ะ เยอะไป...ใครจะไปเก็บได้....บ้าไปแล้ว....
ใจเย็นนะคะ...เราไมได้กำหนดระยะเวลาเสียหน่อยว่าเราจะเก็บเงินให้ครบตามจำนวนนี้ ในเวลากี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี....แต่ถ้าคุณเก็บเร็ว...มันก็จะดีต่อตัวคุณแค่นั้นเองค่ะ
สำหรับฉันในตอนนั้น...เก็บแบบไปเรื่อยๆเลยค่ะ...คือกัดฟัน...ทำงาน หาเงินมาได้ เอาไปฝาก...อดทนไม่นานค่ะ...ก็ได้ครบตามเป้าหมาย... (ทั้งนี้เพราะตัวฉันหางานพิเศษทำด้วยค่ะ)
จากนั้นเราก็มาถึงขั้นตอนต่อไปค่ะ...เก็บเงินได้ครบ 6 เดือนแล้วใช่ไหม...พอค่ะ...ห้ามไปยุ่งกับบัญชีนี้อีก...สำหรับฉัน ฉันใช้วิธีแบบฮาร์คคอค่ะ คืดไปยกเลิกบัตรเอทีเอ็ม...และไม่ผูกโมบายแบงค์กิ้งกับบัญชีนี้ด้วย
เรียกว่าถ้าฉันอยากใช้เงินก้อนนี้ มีทางเดียวก็คือ ฉันต้องไปเบิกที่ธนาคาร...และมันก็เป็นผลดีกับคนที่ขี้เกียจ และเกลียดความยุ่งยากเหมือนฉันคะ...
เงินสำรอง 6 เดือนของฉันยังอยู่ดีมีสุข เอาไว้เป็นสิ่งที่ทำให้อุ่นใจว่าตัวของฉันนั้น หากตกงานขึ้นมาหรือไม่มีเงินเข้ามาในกระเป๋า ฉันก็ยังอยู่ไปได้อีกหกเดือน...
ซึ่ง...ความรู้สึกแบบนี้...มันจะทำให้เรารู้สึกดีและฮึกเหิม พร้อมที่จะเดินทางเข้าสู่ขั้นต่อไปของเส้นทางแห่งการเงินค่ะ
แล้ว....เดี๋ยวฉันจะมาเล่าต่อไปในภายหน้าก็แล้วกันนะคะ...ว่าควรจะทำอะไรกันต่อไปหลังจกาที่มีเงินสำรอง 6 เดือนกันแล้ว...
(ปล. ในสถานการณ์ปัจจุบัน ฉันเลื่อนการเก็บเงินสำรองของตัวเองไปเป็น 12 เดือนค่ะ เพราะสถานการณ์โลกแกว่งไปมามากเกินไป)
โฆษณา