25 พ.ค. 2020 เวลา 08:16 • นิยาย เรื่องสั้น
”เมื่อรัก.”
มั น เ ริ่ ม จ า ก ต ร ง นั้ น ใ ช่ ไ ห ม?
. . .
“สวัสดีค่ะ” ฉันกรอกเสียงลงไปหลังจากรีบวิ่งมารับสายโทรศัพท์บ้านที่ดังอยู่นาน
“พลอย...”
“คะ?”
“เป็นไง?”
“ใครเนี่ย?”
“เราเอง”
“ไหน?”
“กุไงกุ...ปุ้ม”
“เฮ้ย! โทร. มาจากไหนเนี่ย?”
“จากบ้าน”
“เฮ้ย! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เอาเข้าไป จะอีกหลายเฮ้ยไหมเนี่ย จะตกใจอะไรนักหนา”
“ก็กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?”
“เมื่อคืน”
“แล้วไม่บอกล่ะจะได้ไปรับ”
“ไม่ต้องหรอก เออวันนี้ว่างไหม”
“ว่าง...สำหรับเธอฉันว่างเสมอแหละ”
“ทำเป็นพูด”
“จะให้รับใช้อะไรล่ะคะคุณชาย”
“ไปกินข้าวกัน”
“อือได้...”
“งั้นเดี๋ยวเราเดินไปหาที่บ้านนะ”
. . .
ฉันล้วงมือเข้าไปในซองกระดาษสีน้ำตาลแล้วจับดึงกระดาษหลายแผ่นที่อยู่ในนั้นออกมา มันเป็นปึกกระดาษลายน่ารักต่าง ๆ บางแผ่นถูกพับครึ่ง บางแผ่นไม่ และบางแผ่นถูกบรรจุใส่ซองขนาดเล็กอีกที
‘ฝากให้เพื่อนคนอื่น ๆ ด้วย’
แผ่นใหญ่ที่ปะหน้ามันเขียนข้อความไว้แบบนั้น แน่นอนว่าความอยากรู้ทำให้ฉันถือวิสาสะอ่านมันหมดทุกใบ และทุกข้อความที่อยู่ในแต่ละแผ่นกระดาษ ซึ่งข้อความส่วนมากคือการถามไถ่ และบอกกล่าวความคิดถึง ฉันอ่านไปแล้วนึกแอบน้อยใจอีกว่าไม่เห็นจะมีของฉันบ้างสักแผ่น แต่ไม่ทันไรก็เจอ...
กระดาษสีดำขลับแผ่นไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกพับครึ่ง แตกต่างจากกระดาษลายการ์ตูนแผ่นอื่น ฉันสังหรณ์ใจว่ามันต้องเป็นของฉัน และใช่...ที่หัวกระดาษเขียนชื่อฉัน
พลอย...
“แต่งงานกันนะ”
...
...
...
...
...
ไม่ได้ใช่ไหม?
ไม่เป็นไรหรอก
ฉันวางกระดาษทั้งหมดลง แต่ยังคงถือกระดาษแผ่นเรียบสีดำขลับไว้ในมือ นึกหมั่นไส้ที่เขาไม่วายแกล้งฉันด้วยการจงใจเลือกสีกระดาษที่ตัวเองไม่ชอบมาใช้
...
“แต่งงานกันนะ” คำพูดของปุ้มทำเอาฉันที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารในจานถึงกับตะลึง
“อะไรนะ” ฉันรวบช้อนกับซ้อมเข้าหากัน แล้วมองหน้าเขา
“แต่งงานกันนะ” ปุ้มถอนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดซ้ำประโยคเดิมอีกครั้ง
“ขอผิดคนหรือเปล่า ท่าจะเพี้ยนนะ” ฉันโต้ตอบโดยพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ปกปิดความลำล่ำละลัก วินาทีนั้นปุ้มกลับเงียบและไม่ทำอะไรมากไปกว่ามองหน้าฉันด้วยแววตาจริงจัง
“ไม่ทันไรกลับมาก็เล่นมุขเลยนะ รู้อยู่ว่าเป็นจุดอ่อนฉัน ชอบแกล้งอยู่ได้” ฉันแก้สถานการณ์ติดขัดของตัวเองด้วยการหัวเราะไปพูดไป
“พลอยไม่ได้รักเราเหรอ” แต่ฉันก็ถูกฮุคด้วยหมัดตรงจนหงายหลังอีกครั้ง
“ก็...รัก” คำตอบนั้นเบาอยู่ในลำคอ
ความจริงปุ้มไม่น่าถาม ก็ในเมื่อเขาก็รู้ดีอยู่ว่าฉันรู้สึกกับเขาอย่างไร มันร่วมยี่สิบปีแล้วที่เรารู้จักกันมา เรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ประถมหนึ่ง นั่งโต๊ะติดกันตอนอยู่ประถมสอง เริ่มสนิทกันมาก ๆ ตั้งแต่นั้น ห่างกันไปช่วงระยะเวลาหนึ่งตอนเรียนมัธยม แล้วกลับมาสนิทกันอีกเมื่อจบ ม.หก หมาด ๆ ความสัมพันธ์มันดำเนินถึงจุดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มาก ไม่บ่อย ไม่หาย’ ฉันคิดแบบนั้น แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น
“จะไปญี่ปุ่นนะ ได้ทุนแล้ว จะไปเรียนต่อ”
ยามสายของวันนึงเมื่อหกปีที่แล้วปุ้มพูดออกมาให้ฉันฟังอย่างหน้าตาเฉย แล้วหนึ่งเดือนจากนั้นเขาก็ไป ไปโดยที่ทิ้งคำพูดไว้ว่า ‘ไม่ต้องรอ’
สองปีผ่านไปปุ้มติดต่อมาหาฉันแค่ครั้งเดียว การคุยโทรศัพท์นับชั่วโมงครั้งนั้นทำให้ฉันรู้ว่าเขาต้องเรียน และช่วยอาจารย์ทำวิจัย ที่นั่นมีอะไรมากมายให้เขาต้องทำจนแทบไม่มีเวลาคิดอะไร แต่ฉันกลับรู้สึกว่าเขาอาจจะเหงา
“แล้วจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่”
“ไม่รู้ว่ะ คงยังไม่กลับมั้ง รอจบเอกแล้วค่อยกลับทีเดียว”
“อ้าวไหนว่าจบโทแล้วจะกลับมาก่อนไง”
“ตอนนี้งานยุ่งว่ะ ต้องบินตามอาจารย์ไปหลายประเทศ นี่ก็มีหลายทีที่เขามาเลียบเคียงจองตัว”
“แล้วไงล่ะ”
“ก็อาจไม่กลับเลย”
“แล้วพ่อแม่ล่ะ ไม่คิดจะกลับมาดูแลหรือไง”
“เฮ้อ...ก็ยังไม่รู้”
วันนั้นปุ้มถามเรื่องราวในชีวิตของฉันมากมาย ถามเรื่องงาน ถามเรื่องแฟน
“เลิกไปแล้ว”
“อ้าว ทำไมวะ”
“ทำไมล่ะ คนมันรักกันได้ มันก้เลิกรักกันได้แหละ ไม่มีเหตุผลอะไรมาก” ฉันตอบ โดยที่ไม่ได้สรุปอะไรให้ปุ้มเข้าใจว่าแฟนฉันระแวงเรื่องเขา และมันเป็นชนวนของการเลิกกัน
แล้วปุ้มก็หายไป กลายเป็นบุคคลที่ฉันไม่อาจติดต่ออะไรได้อีก อีเมล์ที่ส่งถึงเพื่อถามไถ่ ไม่เคยมีการตอบรับกลับมา
ฉันพาตัวเองดำเนินชีวิตตามวัฏจักรคนทำงานในเมืองใหญ่อย่างปกติ เพื่อละความคิดถึงถึงปุ้มให้หมดไป
“จะไปไหนต่อ” ฉันถามปุ้มเมื่อกินข้าวเสร็จ
“ไม่ล่ะ กลับบ้านดีกว่า”
“เหรอ...ได้” ฉันตอบตกลงแล้วพาปุ้มกลับบ้าน
“จะให้ไปส่งถึงหน้าบ้านเลยไหม?” ฉันแกล้งถามกวนประสาท
“ไม่ล่ะ ไปนั่งคุยที่บ้านพลอยก่อน”
“ได้”
บรรยากาศเดิม ๆ กลับคืนมา ฉันนอนหงายบนพื้นบ้านแล้วมองพัดลมเพดานหมุนโดยที่มีปุ้มนอนอยู่ข้าง ๆ
“หน้าหนาวเมืองไทยนี่ร้อนชะมัด”
“มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ ปุ้มไปอยู่ที่ต่างประเทศนานจนลืมหรือไงว่าที่เมืองไทยก็เป็นแบบนี้”
“มั้ง...”
“แต่มันยังมีกลิ่นลมหนาวนะเว้ย”
“ยังไงวะ”
“นี่ไงลองสูดดูสิ” ฉันบอกขณะที่ระลอกลมพัดผ้าม่านหน้าต่างปลิวไสว
“เพ้อแล้ว”
“ไม่ได้เพ้อเว้ย” ฉันหันหน้าไปโต้ และพบสายตาของปุ้มจับจ้อง
“แต่งงานกันนะ” เขาวกกลับมาเรื่องเดิมอีก ฉันไม่ตอบแต่ลุกขึ้นนั่ง ปุ้มลุกขึ้นมานั่งตาม
“ใครบอกนะว่าไม่ต้องรอ” ฉันบังคับเสียงพูดแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันแหบพร่า
“เราพูดเอง” เขาตอบคำถามหลังจากทำท่านึกอยู่สักพัก
“นั่นสิ” ฉันยิ้ม
“นอนดีกว่า” ปุ้มบอกแล้วล้มตัวนอนลงบนตักฉัน เขาหลับตาขณะที่ดึงมือของฉันไปวางแนบแก้ม
“แล้วนี่จะทำงานที่นี่ใช่ไหม? ไม่กลับไปแล้วใช่ไหม?” ฉันถาม
“ยังไม่รู้”
“อ้าว...นึกว่าจะไม่กลับไปแล้ว” ฉันว่า แต่ปุ้มไม่ตอบ เขาหลับไปจริง ๆ แล้ว และฉันปล่อยให้เขาหลับอยู่บนตักอย่างนั้นเพื่อที่จะได้มองหน้าเขานาน – นาน
. . .
“พลอยหกโมงกว่าแล้วนะตื่นได้แล้ว อะไรกันต้องให้ปลุกทุกวันเลย” เสียงแม่เขย่าให้ตื่น ฉันลุกขึ้นในอาการงัวเงียพร้อมความรู้สึกตื้อตันจากความฝัน
นานแล้วที่ฉันไม่ได้เจอปุ้ม และวันนี้ยังคงเป็นอีกหนึ่งวันของชีวิตที่เราห่างกัน ฉันไม่รู้เลยว่าความห่างของเรานั้นมันมากแค่ไหน กับเวลาที่ผ่านไปเรื่อย ๆ ความคุ้นเคยกำลังเจือจางลงหรือเปล่า หรือความจริงเราต่างขาดจากกันไปแล้ว
ฉันหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านปุ้ม หลังจากตัดสินใจที่จะลองมาถามข่าว แต่การคเลื่อนไหวทั้งหมดก็หยุดนิ่ง มือของฉันเฉียบเย็นด้วยความประหม่า รู้สึกขลาดเกินกว่าจะกดกริ่งเรียกใครสักคนในนั้น แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินถอยออกมา
. . .
ฉันก้มหน้าลงหอมแก้มปุ้ม และเขาลืมตาขึ้นสบตากับฉันก่อนชะโงกหน้าขึ้นมาใช้ปลายจมูกแตะที่ผิวแก้มฉันเบา ๆ
“แต่งงานกันนะ” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง ฉันพยายามยิ้มแล้วส่ายหน้า
“พลอยแต่งงานกับเรานะ” เขาพูดซ้ำอีก แต่ฉันยังคงยิ้มแล้วส่ายหน้า
“แต่งเถอะ...นะ” เขาย้ำเสียงเครือ และฉันยิ้มทั้งน้ำตา
“ฉันแต่งกับเธอไม่ได้แล้ว” ความจริงที่ไม่อยากให้เป็นเรื่องจริงถูกคายออกมา
“ทำไมล่ะพลอย”
“เธอบอกฉันว่าไม่ต้องรอไง” ฉันตอบ เขาหลับตาลง หยดน้ำใสเอ่อรวมตัวเป็นเม็ดที่ปลายตาก่อนไหลจากใบหน้าลงสู่ตักของฉัน
“พลอยไม่รักเรา”
“รัก” ฉันพยายามพูดทั้งที่รู้สึกมีก้อนจุกอยู่ในคอ ปุ้มฟังแล้วส่ายหน้าช้า ๆ
“ปุ้มบอกพลอยเองว่าไม่ต้องรอ” เสียงอู้อี้ที่คัดไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกของฉัน ทำให้เขาลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ก่อนยกมือขึ้นเพื่อปาดน้ำตาบนใบหน้าฉัน ก่อนที่จะพยักหน้ารับคำ
“เรา...สายไป...ใช่ไหมพลอย” ฉันตอบอะไรเขาไม่ได้เลยนอกจากน้ำตา ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกลั้นเสียงสะอื้น และโน้มตัวลงไปกอดปุ้มแน่น – แน่น
. . .
แล้วฉันก็หยุดยืนอยู่ที่หน้ารั้วบ้านของปุ้มอีกครั้ง ฉันชะโงกมองเข้าไปไม่เห็นใครรู้สึกว่าในบ้านเหมือนไม่มีใครอยู่ ฉันยื่นมือไปแตะที่สวิตซ์กริ่งในใจคิดอยากลองกดกริ่งดูสักครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงไปตรงปลายนิ้ว ฉันกลืนน้ำลายและพบว่าคอแห้งเป็นผง ลมหนาวพัดกรูจนต้นไม้ไหว ซากใบไม้ที่หล่นร่วงปลิวว่อน แล้วฉันก็ชักมืออันเฉียบเย็นนั้นกลับ ถอยเท้าโดยสายตายังจับจ้องมองหาใครสักคนในนั้น เหมือนเช่นทุกครั้ง ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินออกมาอย่างไม่ได้ทำอะไร
“ไปไหนมา” น้องสาวของฉันถามเมื่อเจอกันที่หน้าปากซอยเข้าบ้าน
“ไปบ้านปุ้ม” ฉันตอบเรียบ ๆ น้องสาวฟังแล้วนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดอะไรบางอย่างถึงวัดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
“เออที่วัดมีงานแหนะ ไปเดินเที่ยวสิ” ฉันพยักหน้าแล้วหันหลังกลับตามคำแนะนำของน้องสาว
ในวัดเสียงมีเสียงเอะอะจากมัคคฑายกที่พูดเชิญชวนให้คนมาร่วมทำบุญ มีเสียงดนตรีจากซุ้มออกร้านยิงปืน ชิงช้าสวรรค์ และม้าหมุน ฉันแวะเข้าไปทำบุญ ไหว้พระที่โบสถ์ แล้วออกมาเดินรอบ ๆ งาน ฉันปล่อยตัวเองเดินไปเรื่อย ๆ และก้าวเท้าของฉันก็หยุดอยู่ที่นี่
‘นายชัยเฉลิม เลิศล้ำ’
ช่องบรรจุอัฐิของปุ้ม
. . .
ทุ ก อ ย่ า ง มั น จ บ ที่ ต ร ง นี้ ใ ช่ ไ ห ม?
โฆษณา