27 พ.ค. 2020 เวลา 04:30 • ธุรกิจ
จากที่ผมได้กล่าวถึงประเด็นแรกที่ผมได้รับข้อคิดจากหนังสือ"พ่อรวยสอนลูก"(RichDad PoorDad)ไว้ในบทความที่แล้วนั้น ในวันนี้ ผมจะมากล่าวถึงประเด็นที่2ต่อจากประเด็นแรกที่เป็นบทเรียนที่ผมได้รับจากหนังสือพ่อรวยสอนลูกครับ นั่นคือ..
.
.
"คนมั่งคั่งมักไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน แต่ คนมั่งคั่งมักทำงานเพื่อสร้างทรัพย์สิน"ครับ
(ผมจะไม่นำใจความจากหนังสือมาตรงๆ แต่ ผมจะนำใจความของหนังสือมาเล่าผ่านประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวของผมอีกทีนะครับ)
.
.
ก่อนหน้านี้ ผมก็มีแนวคิดเหมือนกับคนทั่วไปครับว่าเมื่อเราทำงานอย่างหนักเราก็ควรได้ค่าตอบแทนซึ่งแน่นอนผลตอบแทนของการทำงานส่วนมากที่จะได้รับกันทั่วๆไปก็คือ เงินเดือน,ค่าคอมมิสชั่น,กำไรจากธุรกิจ,ค่าจ้าง,ค่าล่วงเวลา หรือ แม้กระทั่งโบนัส สิ่งเหล่านี้เราเหมารวมว่าเป็นรายได้ทั้งหมด
.
.
แต่ จากที่ผมได้ตามติดชิวิตของ"คนมั่ง"และ"คนทั่วไป"แน่นอนครับว่าสิ่งที่เหมือนกันคือคนทั้ง2กลุ่มได้รับรายได้มาเหมือนกัน แต่ สิ่งที่ทำให้คนสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั้น นั่นคือ วิธีการใช้เงินหลังจากที่ตนเองได้รับมาต่างหาก
.
.
"คนทั่วไป"นะครับ มักที่จะใช้รายได้ส่วนใหญ่ไปกับการปลอบประโลมชีวิตของตัวเอง จ่ายหนี้บริโภค ซื้อสิ่งของแบบนักบริโภคนิยม เมื่อตัวเองมีรายได้มากขึ้นก็มักจะนำเงินไปซื้อสินค้าที่แพงขึ้นกว่าเดิมเสมอ ยกตัวอย่างนะครับ พนักงานเงินเดือนคนหนึ่งมีรายได้ในปัจจุบันอยู่20000บาท เขาใช้ชีวิตแบบนักบริโภคตัวยงครับ เขาซื้อสินค้าหลายๆอย่าง ที่เป็นเพียงแค่"ความต้องการชั่วคราว"ในชีวิตของเขา นอกจากนี้ บางเดือนยังใช้เงินเกินกำลังที่ตัวเองมี และบางครั้งเลวร้ายถึงติดหนี้บัตรเครดิต ที่มีดอกเบี้ยถึง18%เดือน และ เมื่อการเงินของตนเองเริ่มมีปัญหาก็มักจะจินตนาการในแง่ดีเสมอว่า "ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวเงินเดือนก็ขึ้น" เดชะบุญ นายคนนี้ เงินเดือนขึ้นจริงๆตามที่ตนเองคาดหวัง แต่ สิ่งที่ขึ้นตามไปด้วยก็คือ"ระดับการใช้จ่าย"เขาจะมองไปที่ โทรศัพท์รุ่นที่แพงขึ้น รถยนตร์คันที่หรูมากขึ้น และ บ้านหลังที่ใหญ่มากขึ้น เรียกว่า"รายได้เปลี่ยน"แต่"พฤติกรรมการใช้เงิน"ไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด สุดท้าย คนกลุ่มนี้ จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆเลยจากการที่ตนเองมีรายได้มากยิ่งขึ้น
.
.
จากพฤติกรรมของคนกลุ่มข้างบน แน่นอนครับสิ่งที่เขามีมากขึ้นจากการทำงานหนัก คือ "สินค้าทั่วไป"ที่ออกมาตามกาลเวลาเพื่อให้คนหยิบใช้สอยเพียงชั่วคราว แต่ เมื่อเวลาผ่านไปสินค้าเหล่านี้ จะเสื่อมมูลค่าตามกาลเวลาในที่สุด และ สุดท้ายเงินที่เก็บสะสมมาก็จะหายไปตามกาลเวลาด้วยเช่นกัน
วันนี้ อยากให้ทุกคนลองมองนะครับว่า มีอะไรบ้างที่เราเคยซื้อมาจากรายได้ที่แสนเหนื่อยของเรา และ วันนี้มันถูกกองอย่างไม่ได้ใช้งาน ณ มุมใดมุมนึงของห้อง
.
.
และแน่นอนครับ มันผิดกันกับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่ม"คนมั่งคั่ง"ที่ผมรู้จัก คน"มั่งคั่ง"นะครับ เมื่อได้รายได้มา เขาจะมีพฤติกรรมการใช้เงินที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคน"ทั่วไป"สิ่งที่เขาทำคือเขาจะนำเงินที่เขาได้รับมาส่วนหนึ่ง(และหลายครั้งเป็นส่วนใหญ่)ไปกับการ"สร้างทรัพย์สิน"
โดย"คนมั่งคั่ง"มักนำเงินที่ได้มาทั้งหมด ใช้จ่ายออกไปอย่างรู้คุณค่า เขาจะไม่นำเงินทั้งหมดมาใช้จ่ายจนหมด แต่ เขาจะจัดทำ"งบประมาณ"(บางครั้งก็ประมาณการเอา)ค่าใช้จ่าย ในแต่ละเดือนของตนเองให้เพียงพอและไม่เกินตัว นอกจากนี้ สิ่งของที่"คนมั่งคั่ง"มักใช้จ่ายออกไปมักเป็น"สิ่งของ"ที่เขาจำเป็นต้องใช้และจะใช้มันอย่างมีคุณค่าจริงๆแม้บางครั้งจะแพงเท่าไหร่ แต่ ถ้าสิ่งนั้นสามารถสร้างคุณค่าให้แก่เขาอย่างแท้จริงเขาจะยอมจ่าย
.
.
แต่ ในขณะเดียวกัน เขาจะกลายเป็นคนขี้เหนียวสุดๆ กับสิ่งของที่ไร้จำเป็น เคยมีบทความหนึ่งครับบอกว่าจากการสัมภาษณ์คนรวยในประเทศหนึ่ง โดยหัวข้อการสัมภาษณ์นั้น คือ โทรศํพท์มือถือที่คนรวยใช้ว่าใช้รุ่นอะไร และ ทำไมถึงใช้
มันน่าแปลก!!!ที่คนรวยหลายคนใช้มือถือที่ไม่ใช่รุ่นล่าสุด และ ที่มากไปกว่านั้นบางคนใช้มานานถึง7-8ปี มีคนรวยคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า"ผมไม่รู้จริงๆว่าผมจะจ่ายเพิ่มทุกๆปีทำไมกับแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานอีกนิดหน่อย หรือว่ากล้องและหน้าจอที่คมชัดขึ้นแค่กระจึ๋งเดียว"
สรุปคือ "คนมั่งคั่ง"เมื่อได้รับเงินมามักใช้จ่ายกับสิ่งที่"จำเป็น"อย่างรู้คุณค่าและไม่เกินกำลังเสมอ
.
.
และ เงินอีกส่วนหนึ่งล่ะ!!!
เงินอีกส่วนหนึ่ง"คนมั่งคั่ง"ก็มักจะจ่ายเช่นกันครับ
แต่..เป็นการจ่ายให้กับตนเอง!!!
คนเหล่านี้ มักจะนำเงินที่ตนเองกันไว้ส่วนหนึ่งไปทำการ"ลงทุน"ต่อ แต่ การลงทุนในที่นี้ ต้องเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดนะครับ "คนมั่งคั่ง"มักจะไม่พลาดกับการลงทุนที่เป็นไปไม่ได้หรือเสี่ยงเกินไป แต่ จะศึกษาและคัดเลือกการลงทุนอย่างตั้งใจ จนกว่าเขาจะมั่นใจได้ว่าการลงทุนนั้นๆจะปลอดภัยกับเงินของเขา และ สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่เขาคาดหวัง
ตัวอย่างทรัพย์สินที่คนเหล่านี้มักมีไว้ถือครองก็เช่น
-บัญชีเงินฝากธนาคาร
-ทองคำ
-หุ้นกู้,พันธบัตร
-หุ้นสามัญจากบริษัทชั้นเยี่ยม
-กองทุน
-ธุรกิจ
-อสังหาริมทรัพย์
-ทรัพย์สินทางปัญญา
และอื่นๆที่เขาเชื่อว่าจะเพิ่มมูลค่าได้
.
.
และเป้าหมายคืออะไรล่ะ?
เป้าหมายสำคัญของการเป็นเจ้าของทรัพย์สินของ"คนมั่งคั่ง"ก็คือ"การเพิ่มมูลค่าของเงิน"ผ่าน2ช่องทางที่ทรัพย์สินจะมอบให้
1.มูลค่าตัวทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น เช่น ทองคำ1บาทที่เคยบาทละ15000ในวันที่เขียนนี้อยู่ราวๆ25000บาท หรือ ที่ดินใน10ปีที่แล้วราคา1ล้านบาท ปัจจุบัน บริเวณนั้นมีความเจริญมากขึ้น ราคาจึึงอยู่ที่2ล้านบาท เป็นต้น(จะเห็นได้ว่าทรัพย์ที่คนมั่งคั่งครอบครอง จะรักษามูลค่า และ เพิ่มมูลค่าให้กับเจ้าของเสมอ)
2."กระแสเงินสด"(อันนี้หนังสือให้ความสำคัญมากที่สุด)
ทรัพย์สินที่"พ่อรวย"แนะนำให้ถือไว้ก็คือทรัพย์สินที่ให้เงินตอบแทนแก่ผู้ครอบครองอย่างสม่ำเสมอ เช่น
-เงินฝากธนาคาร(ได้รับดอกเบี้ย)
-หุ้นกู้,พันธบัตร(ได้รับดอกเบี้ย)
-หุ้นสามัญ,กองทุน(ได้รับเงินปันผล)
-ธุรกิจ(ได้รับกำไร)
-อสังหาริมทรัพย์(ค่าเช่า)
-ทรัพย์สินทางปัญญา(ค่าลิขสิทธิ์)
.
.
จะสังเกตได้ว่าสิ่งที่"คนมั่งคั่ง"ครอบครอง
จะเติมเงินเพิ่มให้กับกระเป๋าของพวกเขาเสมอ
.
.
และต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับ"คนทั่วไป"ที่มักทำให้เงินของตัวเองลดมูลค่าหรือเอาเงินออกจากกระเป๋าตังค์ตนเองอยู่เสมอ
(เมื่อวานไปดูราคารถยนตร์มือ2รุ่นตัวเอง ซื้อมา6ปี คอนซื้อราคา1ล้านกว่าบาท ตอนนี้ในตลาดมือ2 เหลือแค่ 3แสนต้นๆ!!)
.
.
สุดท้าย ผมอยากให้ทุกคนลองคิดดูนะครับ ว่าวันนี้ ที่เราทำงานอย่างหนัก เรานำเงินที่แสนมีคุณค่าไปใช้จ่ายแบบ"คนทั่วไป"ที่ทำงานเพื่อเงินโดยนำมาใช้จ่ายเป็นหลัก หรือ"คนที่มั่งคั่ง"ที่ทำงานเพื่อเงินโดยนำเงินนั้นมาสร้างทรัพย์สินเป็นหลัก?
.
.
หากคำตอบ คือ "คนทั่วไป"ผมขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนให้ทุกคนมาสู่หนทางแห่ง"ความมั่งคั่ง"จากการ จัดทำงบประมาณ ออมเงิน จ่ายเงินเพื่อตัวเอง เพื่ออนาคตของตนเองและทุกคนที่คุณรัก
.
.
โดยStepแรกของผมตอนเข้าสู่เส้นทางสายนี้ คือ การอ่านหนังสือ"พ่อรวยสอนลูก"(RichDad PoorDad) จากที่พ่อผมจ้างผมอ่านด้วยเงิน500บาท
และวันนี้ผมขอใช้โอกาสนี้ เชิญชวนให้ทุกคนได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้เช่นกัน ผมเชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของทุกคนแน่นอนครับ
ปล.สำคัญ ผมเข้าใจดีครับว่าทุกคนมีความจำเป็นที่แตกต่างกันไป และ ผมจะไม่เหมารวมเพราะผมให้เกียรติผู้อ่านทุกคนเสมอ ของบางชิ้นมีคุณค่าและทำให้เรามีความสุขได้ิย่างเหลือล้น
แต่ ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ประเมินการใช้จ่ายแต่พอสมควรและจำเป็นให้มากที่สุด เพื่ออนาคตของทุกคนครับ:)
.
.
ขอบคุณ Robert T.Kiyosaki และ Sharon L.Lechter ที่ได้ร่วมกันเขียนหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มนี้ขึ้นมา
และขอบคุณ "โค้ชหนุ่ม" จักรพงษ์ เมษพันธุ์ ผู้แปล ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผมเคารพรัก และ เป็นผู้ที่จุดประกายทำให้ผมได้เผยแพร่สิ่งที่ผมรู้ให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่นครับ
.
.
ส่วนประเด็นที่3จะเป็นอย่างไรนั้น คราวหน้าผมจะมากล่าวถึงต่อไปครับ
ฟังผ่านพอร์ตแคส:https://www.youtube.com/channel/UCmQrtowlmmusj0TUb-zImrw
อ่านผ่านFacebook:https://m.facebook.com/moneyshamster/
โฆษณา