28 ม.ค. เวลา 15:27 • การศึกษา

Doing Agile :: อยากสำเร็จ ควรทำ Agile ให้ครบทุกมิติ

สำหรับใครที่ยังใหม่กับเรื่องของ Agile อาจจะสงสัยว่า ถ้า Agile ดีจริง ทำไมจึงมีทั้งคนที่สำเร็จและคนที่ล้มเหลว ถ้าแนวทางนี้ไม่ดี ก็คงไม่มีคนที่สำเร็จ ดังนั้น คนที่ทำไม่สำเร็จ อาจจะพลาดจุดไหนไป?
หรือคนที่ทำงานบนแนวทาง Agile มาสักพัก อาจจะเคยสงสัยว่า เอ ... เราก็ไปเรียนมาแล้ว เช่น ไปเรียนการทำงาน Agile โดยใช้ Scrum framework (รวมทั้ง framework และวิธีอื่นๆ) ต้องทำอะไร ต้องมีอะไร ก็ทำแล้ว ทำไมยังมีปัญหาเยอะแยะไปหมด ... ลองวางทุกอย่างลง ตั้งสติ แล้วกลับไปสู่พื้นฐาน Being = Thinking + Doing
ในโพสต์ก่อนๆ เราวิเคราะห์ถึง Agile Mindset ไปแล้ว
หากอยากให้ Agile Mindset สมบูรณ์ ก็ต้องมีความคิดที่ถูกต้อง (Thinking Agile :: 4 Agile Values) และการปฏิบัติที่เหมาะสม (Doing Agile)
ในส่วนการปฏิบัติที่เหมาะสม Agile ก็นำเสนอหลักปฏิบัติ 12 ประการเพื่อการเท่าทันความเปลี่ยนแปลง (12 Principles of Agile)
หะ!!!! ตั้ง 『 12 』ข้อเลยเหรอ!!! 😱
อาจจะดูเยอะ จริงๆเรามองเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆก็ได้ ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าและธุรกิจ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทีมทำงาน และกลุ่มที่เป็นรากฐานของกระบวนการทำงานให้ดี
Ⅰ. กลุ่มแรกที่เกี่ยวกับลูกค้าและธุรกิจ จะครอบคลุม Agile Principle ข้อ 1-4
แนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับ "ลูกค้า"
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 1 』: Our highest priority is to satisfy the customer through early and continuous delivery of valuable software.
ความหมายของหลักการ Agile ข้อแรกคือ การให้ความสำคัญสูงสุดในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า โดยการส่งมอบซอฟต์แวร์ที่มีคุณค่าอย่างต่อเนื่องและเร็วที่สุด นี่หมายความว่าการพัฒนาซอฟต์แวร์ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างและส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เสร็จสิ้นงานเมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 บริษัทซอฟต์แวร์สามารถส่งมอบเวอร์ชันเบต้าของโปรแกรมให้กับลูกค้าใช้งานได้ก่อน และจากนั้นก็อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ และแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่องตามคำติชมจากลูกค้า
💡 การพัฒนาแอปธนาคารมือถือโดยมีการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มความสามารถในการจ่ายบิลหรือโอนเงินระหว่างประเทศ ทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้สะดวกขึ้นเรื่อยๆ
💡 ในงานบริการ ร้านอาหารอาจเสนอเมนูทดลองใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและปรับปรุงตามความชื่นชอบและคำติชมของลูกค้า เพื่อให้แน่ใจว่ามีอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ
💡 ในอุตสาหกรรมการผลิต สามารถใช้แนวทางนี้โดยการส่งมอบผลิตภัณฑ์เวอร์ชันเบต้าให้กับลูกค้าบางกลุ่ม เพื่อทดสอบและรับฟีดแบ็ค ก่อนที่จะผลิตขึ้นเป็นจำนวนมาก
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 2 』: Welcome changing requirements, even late in development. Agile processes harness change for the customer's competitive advantage.
ความหมายของหลักการที่ 2 คือ การยอมรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการหรือข้อกำหนด แม้ว่าจะเกิดขึ้นช้าหรือในช่วงหลังของการพัฒนาโครงการก็ตาม แนวคิดนี้เน้นย้ำว่าความสามารถในการปรับเปลี่ยนตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าและเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์อาจเริ่มต้นโปรเจกต์ด้วยความต้องการที่ชัดเจน แต่ระหว่างทางลูกค้าอาจต้องการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หรือเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติบางอย่าง หลักการ Agile แนะนำให้ทีมพัฒนายอมรับและปรับเปลี่ยนโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น
💡 ธนาคารอาจพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ ในระหว่างการพัฒนา, อาจมีกฎระเบียบใหม่หรือความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง ธนาคารควรพร้อมปรับแอปพลิเคชันเพื่อสอดคล้องกับเหล่านั้น เช่น เพิ่มความสามารถในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
💡 ในงานบริการ ร้านอาหารอาจพัฒนาเมนูใหม่ แต่พบว่าลูกค้ามีความต้องการเฉพาะเจาะจง เช่น ต้องการอาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารปลอดสารก่อภูมิแพ้ ร้านอาหารก็อาจทดลองปรับเปลี่ยนเมนูเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น
💡 ในอุตสาหกรรมการผลิต บริษัทผลิตเสื้อผ้าอาจเริ่มผลิตคอลเล็กชันใหม่ แต่ระหว่างทางพบว่ามีแนวโน้มแฟชั่นใหม่หรือความต้องการของตลาดเปลี่ยนแปลง บริษัทก็มีแผนรองรับปรับการออกเสื้อผ้าตามกระแสต่างๆได้ทันท่วงที
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 3 』: Deliver working software frequently, from a couple of weeks to a couple of months, with a preference to the shorter timescale.
หลักการที่ 3 หมายความว่า ในการพัฒนาซอฟต์แวร์หรือผลิตภัณฑ์ ควรมีการส่งมอบผลงานที่สามารถทำงานได้จริงอย่างต่อเนื่องและบ่อยครั้ง เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกสองสัปดาห์ ทุกเดือน ฯลฯ
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 ทีมพัฒนาอาจส่งมอบฟีเจอร์ใหม่หรืออัพเดตต่อผู้ใช้ทุก ๆ สองสัปดาห์ เช่น การปรับปรุงความปลอดภัยหรือการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ที่ลูกค้าต้องการ ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง
💡 ในงานธนาคาร ธนาคารอาจพัฒนาและปรับปรุงแอปมือถือเพื่อให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น เช่น การเพิ่มฟีเจอร์การโอนเงินอัตโนมัติหรือการเข้าถึงสถิติการใช้จ่าย การส่งมอบฟีเจอร์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น
💡 ในงานบริการ บริษัทบริการสามารถปรับปรุงและส่งมอบบริการใหม่ๆ เช่น การอัปเดตเมนูในร้านอาหารหรือการเพิ่มช่องทางการจองออนไลน์ การปรับปรุงบ่อยครั้งช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อความต้องการและรีวิวของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
💡 ในอุตสาหกรรมการผลิต เช่น ในอุตสาหกรรมแฟชั่นมีการออกแบบและส่งมอบคอลเลคชั่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มและความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 4 』: Business people and developers must work together daily throughout the project.
หลักการที่ 4 หมายถึงการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมธุรกิจและทีมพัฒนา ทุกวันตลอดระยะเวลาของโครงการ เพื่อให้การสื่อสารและการตัดสินใจเกิดขึ้นได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้บริหารโครงการ (ซึ่งอาจเป็นตัวแทนของลูกค้า) ประชุมร่วมกันทุกวันเพื่อตรวจสอบความคืบหน้า แก้ไขปัญหา และปรับเปลี่ยนแผนงานตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป
💡 ในงานธนาคาร ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินร่วมกับทีมบริการลูกค้าพบปะสื่อสารกันทุกวัน เพื่อให้ทราบถึงความต้องการของลูกค้า และปรับเปลี่ยนบริการหรือผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้อง
💡 ในงานบริการ ในภัตตาคาร, ทีมการตลาดและทีมบริหารครัวอาจประชุมร่วมกันทุกวันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเมนูที่ได้รับความนิยม, ความต้องการของลูกค้า และการปรับปรุงบริการ
💡 อุตสาหกรรมการผลิต ทีมออกแบบผลิตภัณฑ์และทีมการผลิตพบปะทุกวันเพื่อหารือเกี่ยวกับความท้าทายในการผลิต, การปรับปรุงการออกแบบ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
หลักการนี้ช่วยให้ทีมงานทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจและปรับตัวได้ดีต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป และช่วยลดความผิดพลาดหรือความเข้าใจผิดได้มาก
⚠️ ข้อควรระวังคือ การที่ทีมธุรกิจและทีมพัฒนาประชุมกันบ่อยๆ ไม่ได้แปลว่าสอดคล้องกับหลักการข้อนี้ซะทีเดียว ทุกฝ่ายควรมีเป้าหมายร่วมกัน (common goal) จึงจะทำให้การประชุมแต่ละครั้งมุ่งไปที่ผลลัพธ์ร่วมกัน ไม่เช่นนั้น ประชุมก็จะเยอะแยะมากมาย และในประชุมทุกคนก็จะคุยแต่เรื่องที่ตัวเองได้ประโยชน์
Ⅱ หลักปฏิบัติกลุ่มที่ 2 จะเกี่ยวกับทีมทำงาน จะครอบคลุม Agile Principle ข้อ 5-8
แนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับ "ทีม"
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 5 』: Build projects around motivated individuals. Give them the environment and support they need, and trust them to get the job done.
หลักการ Agile ข้อที่ 5 คือ "สร้างโครงการโดยมีคนที่มีแรงจูงใจเป็นศูนย์กลาง ให้การสนับสนุนและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่พวกเขา และเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะทำงานนั้นให้สำเร็จ" นี่คือหลักการที่เน้นไปที่การมอบอิสระและการสนับสนุนให้กับทีมเพื่อให้พวกเขาทำงานได้ดีที่สุด
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 ในโปรเจกต์พัฒนาซอฟต์แวร์, ทีมงานได้รับอิสระในการเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือที่พวกเขาคุ้นเคย และองค์กรให้การสนับสนุนด้านทรัพยากร เช่น ซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์, หรือการฝึกอบรม ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
💡 ในธนาคาร, ทีมที่ทำงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ อาจได้รับความเป็นอิสระในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้า พวกเขาได้รับการสนับสนุนด้วยการเข้าถึงข้อมูลลูกค้า, เทคโนโลยีที่ทันสมัย, และการอนุมัติด้านงบประมาณที่ยืดหยุ่น
💡 งานบริการ ในธุรกิจร้านอาหาร, ทีมงานอาจได้รับอิสระในการสร้างเมนูใหม่ โดยองค์กรให้การสนับสนุนด้วยทรัพยากร เช่น วัตถุดิบที่หลากหลาย, เครื่องครัวทันสมัย, และการอบรมด้านการทำอาหาร เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจแก่ลูกค้า
💡 ในงานการตลาด, ทีมสามารถมีอิสระในการออกแบบแคมเปญ โดยองค์กรสนับสนุนด้วยข้อมูลและเครื่องมือการวิเคราะห์ เพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างแคมเปญที่เหมาะสมและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญอยู่ที่การให้ความไว้วางใจแก่ทีม และการสนับสนุนด้วยทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 6 』: The most efficient and effective method of conveying information to and within a development team is face-to-face conversation.
ตามหลักการ Agile ข้อที่ 6 หมายความว่าการสื่อสารที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดในทีมพัฒนาซอฟต์แวร์คือการสนทนาตัวต่อตัว
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 ในงาน IT การประชุมเพื่อหารือปัญหาการเขียนโค้ด การพูดคุยตัวต่อตัวช่วยให้ทีมแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจกันมากขึ้น เมื่อเทียบกับการสื่อสารผ่านอีเมลหรือข้อความ
💡 ในธนาคาร เมื่อพนักงานฝ่าย IT พูดคุยกับทีมการเงินเกี่ยวกับระบบการทำงานของซอฟต์แวร์ การประชุมหน้าต่อหน้าช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจความต้องการและข้อจำกัดของกันและกันได้ดีขึ้น
💡 ในธุรกิจบริการ พนักงานฝ่ายบริการลูกค้าและทีม IT ประชุมหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบการจัดการลูกค้า การสนทนาตัวต่อตัวช่วยให้ทีม IT เข้าใจความต้องการของลูกค้าจากมุมมองของพนักงานฝ่ายบริการ
💡 ในอุตสาหกรรมการผลิต ทีมวิศวกรและทีมการผลิตสามารถพบปะและพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิค การประชุมหน้าต่อหน้าช่วยลดความเข้าใจผิดและเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา
หลักการนี้เน้นย้ำว่าการสื่อสารโดยตรงนั้นช่วยให้ทีมเข้าใจกันและกันได้ดีขึ้นและสามารถตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสำคัญมากในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เช่น ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์และธุรกิจสมัยใหม่
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 7 』: Working software is the primary measure of progress.
"ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานได้จริงเป็นเกณฑ์หลักในการวัดความก้าวหน้า" หมายความว่า ความสำเร็จของโปรเจคต์ไม่ได้ถูกวัดจากเอกสารวางแผนหรือรายงานความคืบหน้า แต่เน้นที่ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้จริงและสามารถนำไปใช้งานได้จริง
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 การพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ, ความก้าวหน้าไม่ได้วัดจากจำนวนเพจของเอกสารแผนงาน แต่วัดจากแอปที่พัฒนาได้แล้ว สามารถติดตั้งและใช้งานได้จริงบนโทรศัพท์
💡 ในการพัฒนาระบบชำระเงินออนไลน์, ความก้าวหน้าไม่ขึ้นกับแผนที่วางไว้เท่านั้น แต่ขึ้นกับระบบที่ทำงานได้จริงและสามารถทำการชำระเงินได้อย่างปลอดภัย
💡 ในงานบริการ การพัฒนาระบบจองโรงแรมออนไลน์, ความก้าวหน้าสะท้อนให้เห็นจากระบบที่สามารถจองและยืนยันการจองได้อย่างราบรื่น ไม่ใช่จากจำนวนรายงานหรือการประชุม
💡 ในการพัฒนาระบบการจัดการสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจค้าปลีก, ความสำเร็จไม่ได้วัดจากแผนธุรกิจแต่วัดจากการที่ระบบสามารถติดตามและจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างแม่นยำ
หลักการนี้ช่วยให้ทีมงานโฟกัสที่การสร้างซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้จริงๆ มากกว่าการติดตามเอกสารแผนงานที่อาจไม่สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 8 』: Agile processes promote sustainable development. The sponsors, developers, and users should be able to maintain a constant pace indefinitely.
หลักการที่ 8 ของ Agile นั้นพูดถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน หมายความว่า ทีมทำงานมีจังหวะการทำงานที่สม่ำเสมอ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพโดยไม่เกิดความเหนื่อยล้าหรือหมดไฟ
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 งาน IT ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์อาจทำงานในรอบพัฒนาที่สั้น ๆ (sprints) แต่ละรอบไม่ทำให้ทีมเหนื่อยหน่าย เช่น การทำงาน 2 สัปดาห์ต่อรอบและมีการพักผ่อนหรือทบทวนงานในแต่ละรอบ ช่วยให้ทีมไม่หมดพลังและสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
💡 งานธนาคาร ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ ของธนาคาร เช่น แอปธนาคาร ทีมอาจทำงานในรอบที่สม่ำเสมอ โดยแบ่งงานใหญ่ออกเป็นงานย่อย ๆ ทำให้พนักงานไม่เกิดความเครียดจากงานที่มีขนาดใหญ่เกินไป
💡 งานบริการ ในบริษัทบริการ เช่น โรงแรมหรือสายการบิน การจัดการกับคำร้องเรียนหรือปรับปรุงบริการอาจทำเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ที่สามารถจัดการได้ในแต่ละวันหรือสัปดาห์ ช่วยลดความเครียดและความเหนื่อยล้าของทีมงาน
💡 ในอุตสาหกรรมการผลิต การผลิตสินค้า เช่น โรงงานผลิตอาหาร การแบ่งกระบวนการผลิตออกเป็นส่วน ๆ และให้พนักงานทำงานในรอบการผลิตที่สมดุล ช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เหนื่อยเกินไป
Ⅲ หลักปฏิบัติกลุ่มที่ 3 จะเกี่ยวกับทีมรากฐานกระบวนการทำงานให้ดี จะครอบคลุม Agile Principle ข้อ 9-12
แนวปฏิบัติในองค์รวมอันเป็นรากฐานที่สำคัญ
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 9 』: Continuous attention to technical excellence and good design enhances agility.
หลักการ Agile ข้อที่ 9 หมายความว่าการให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับความเยี่ยมยอดทางเทคนิคและการออกแบบที่ดีจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 ในงาน IT ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องให้ความสำคัญกับการเขียนโค้ดที่มีคุณภาพ, การทำงานร่วมกันของระบบ (integration), และการออกแบบที่ช่วยให้โค้ดสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย ซึ่งจะช่วยให้ทีมสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
💡 ในธนาคาร การใช้ระบบที่มีการออกแบบมาอย่างดีในการจัดการข้อมูลลูกค้าและธุรกรรมทางการเงินช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนหรืออัพเดทบริการใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การเพิ่มฟีเจอร์การชำระเงินออนไลน์หรือการบริการลูกค้าผ่านแอปพลิเคชั่น
💡 ในงานบริการ บริษัทที่ให้บริการออนไลน์ต้องมีการออกแบบเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นที่ดี ซึ่งไม่เพียงแต่ดูดี แต่ยังต้องใช้งานง่าย การมีระบบที่สามารถปรับปรุงหรือเพิ่มเติมบริการได้ง่ายจะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้เร็วขึ้น
💡 ในวงการอุตสาหกรรมการผลิต การผลิตสินค้า ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมรถยนต์ การมีการออกแบบที่ดีของกระบวนการผลิตและระบบการจัดการคุณภาพจะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีความต้องการในตลาดหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 10 』: Simplicity–the art of maximizing the amount of work not done–is essential.
หลักการข้อที่ 10 นี้คือการเน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ความเรียบง่าย" ในการทำงาน หมายความว่า เราควรพยายามลดความซับซ้อนและงานที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 ในการพัฒนาซอฟต์แวร์, Agile ข้อนี้หมายถึงการเลือกทำฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดก่อน และหลีกเลี่ยงการเพิ่มฟังก์ชั่นที่ซับซ้อนหรือไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ แทนที่จะพัฒนาโซลูชั่นที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน
💡 ในงานธนาคาร หลักการนี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบกระบวนการทำงานที่เรียบง่ายและใช้เวลาน้อย เช่น การทำให้กระบวนการอนุมัติสินเชื่อเป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป
💡 ในธุรกิจบริการ, การลดความซับซ้อนของกระบวนการบริการสามารถทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีขึ้น เช่น การสร้างเมนูที่เรียบง่ายแต่ครอบคลุม, หรือการออกแบบกระบวนการจองห้องพักให้ง่ายและรวดเร็ว
💡 ในอุตสาหกรรมการผลิต, การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีความเรียบง่ายและลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไปสามารถเพิ่มความเป็นไปได้และลดต้นทุนการผลิต
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 11 』: The best architectures, requirements, and designs emerge from self-organizing teams.
หลักการข้อที่ 11 หมายความว่า การทำงานในทีมที่สมาชิกมีอิสระในการตัดสินใจและแก้ปัญหาด้วยตัวเองจะนำมาซึ่งการพัฒนางานที่ดีและเหมาะสมที่สุด
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 ในการพัฒนาซอฟต์แวร์, ทีมที่มีอิสระจะสามารถเลือกเครื่องมือ, เทคโนโลยี, และวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโปรเจ็กต์ของพวกเขาได้ โดยไม่ต้องพึ่งการตัดสินใจจากผู้จัดการที่อาจไม่มีความเชี่ยวชาญเท่าทีมพัฒนา
💡 งานธนาคาร ทีมงานอาจมีอิสระในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น โดยทีมสามารถทดลองและปรับปรุงผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องอาศัยการอนุมัติจากระดับสูงอยู่เสมอ
💡 ในภาคบริการ ทีมที่สามารถจัดการตัวเองได้อาจสร้างนวัตกรรมในการให้บริการลูกค้า เช่น การปรับปรุงกระบวนการทำงานหรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า.
💡 ในอุตสาหกรรมการผลิต ทีมที่มีอิสระอาจพัฒนาวิธีการผลิตใหม่ๆ หรือปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
หลักการนี้สนับสนุนการมอบอำนาจและความเชื่อมั่นให้กับทีมงาน, เนื่องจากพวกเขามักจะเข้าใจลึกซึ้งถึงโครงการและมีความเชี่ยวชาญที่จะตัดสินใจได้ดีที่สุด
『 หลักปฏิบัติข้อที่ 12 』: At regular intervals, the team reflects on how to become more effective, then tunes and adjusts its behavior accordingly.
หลักการที่ 12 หมายถึง ทีมควรทบทวนและปรับปรุงวิธีการทำงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ภายใต้หลักการนี้ ทีมงานจะประชุมกันเป็นระยะๆ เพื่อวิเคราะห์ว่าอะไรทำได้ดีและอะไรควรปรับปรุง แล้วทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายและเป้าหมายใหม่ๆ
ตัวอย่างในที่สะท้อนหลักการข้อนี้ในวงการต่างๆ อาทิ:
💡 ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์อาจทบทวนวิธีการทำงานทุกสองสัปดาห์ เพื่อหาวิธีปรับปรุงกระบวนการพัฒนาหรือการสื่อสารภายในทีม ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจพบว่าการใช้เครื่องมือการจัดการโค้ดใหม่สามารถช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเร็วในการทำงาน
💡 ในธนาคาร ทีมบริการลูกค้าอาจประชุมเดือนละครั้งเพื่อพิจารณาวิธีปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการตอบกลับคำถามทางอีเมลเร็วขึ้น หรือเพิ่มความสะดวกในการใช้งานแอปมือถือ
💡 ในงานบริการ ร้านอาหารอาจมีการประชุมทีมเพื่อวิเคราะห์การตอบรับของลูกค้าต่อเมนูใหม่ และจากนั้นพิจารณาการปรับเปลี่ยนเมนูหรือบริการเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากขึ้น
💡 ในวงการอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ในโรงเรียน ครูและบุคลากรอาจประชุมทุกเทอมเพื่อวิเคราะห์ผลการเรียนการสอนและหาวิธีปรับปรุงแนวทางการสอนหรือการจัดการชั้นเรียนให้ดียิ่งขึ้น
*** 📌กล่าวโดยสรุป ***
เส้นทางการทำงานแบบ Agile ให้เกิดผลสำเร็จ ย่อมต้องมี Agile Mindset เป็นพื้นฐาน ประกอบด้วย มีความคิดที่ถูกต้อง (Thinking Agile :: 4 Agile Values) และมีการปฏิบัติที่เหมาะสม (Doing Agile)
มิติของการปฏิบัติที่เหมาะสม เราสามารถใช้ Agile Principles 12 ข้อเป็นแนวทางเพื่อให้ครบถ้วนทุกมิติ อาทิ มิติด้านที่เกี่ยวกับลูกค้า เกี่ยวกับทีมทำงาน เกี่ยวกับกระบวนการทำงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ถึงแม้จะมี 12 ข้อ ก็ไม่ได้แปลว่าแต่ละข้อแยกทำเป็นข้อๆอย่างเด็ดขาด ในการปฏิบัติจริงเราย่อมทำเป็นองค์รวม เพราะทำข้อหนึ่งย่อมกระทบกับข้ออื่นๆด้วย
✍ ข้อมูลอ้างอิง: https://agilemanifesto.org/
โฆษณา