27 พ.ค. 2020 เวลา 00:57 • บันเทิง
#FUNGSPECIAL
ครบรอบ 20 ปีอัลบั้ม The Marshall Mathers LP ผลงาน masterpiece ของ Eminem
MMLP20
นานๆทีจะมีคอนเทนท์หวนรำลึกถึงอัลบั้มเก่ามาให้อ่านกัน จากความสำเร็จของ The Slim Shady LP ที่ทำให้ทุกคนรู้จักแร็ปเปอร์ผิวขาวฝีปากกล้า ผู้มีคาแรคเตอร์แอนตี้ฮีโร่เจ้าปัญหาต่อต้านครอบครัว และสังคม มาพร้อมกับตัวตนสมมติที่สร้างความวายป่วงไปทั่ว จนกระทั่ง 1 ปีถัดมาแร็ปเปอร์ผิวขาวผู้มาจากดีทรอยต์ได้ขยาย scope กว้างขึ้น จนมันเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการเพลง
The Marshall Mathers LP คืออัลบั้ม groundbreaking สุดลือลั่นที่ครั้งนึงเคยทำให้วงการฮิปฮอปเข้าสู่กระแสหลักจนครองพื้นที่ pop culture ไปอย่างง่ายดาย และสามารถทำยอดขายเปิดตัวระดับล้านก้อปปี้ในสัปดาห์แรก ทั้งๆที่อยู่ในยุคก่อนจะมี YouTube ระบบสตรีมมิ่ง หรือโซเชียลมีเดียด้วยซ้ำ แถมเก็บยอดขายทั่วโลกได้ถึง 25 ล้านก้อปปี้ในแบบที่ไม่ฟลุ้คเสียด้วย
เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาของอัลบั้มที่เคยเปลี่ยนชีวิตการฟังเพลงให้ใครหลายคน ผมเลยรวบรวม fact เด็ดๆมันส์ๆเกี่ยวกับเพลงนี้ให้ทุกคนได้ throwback ไปพร้อมๆกัน
1.อัลบั้มนี้เคยมีชื่อเก่าว่า Amsterdam
เนื่องจากช่วงนั้น Eminem ออกทัวร์ร่วมกับ Dr. Dre ที่เมือง Amsterdam เมืองหลวงของประเทศ Netherlands และ ป๋าชื่นชอบเมืองนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นเมืองที่ผลิตยาอีได้ถูกกฎหมาย เมืองสวรรค์แห่งคนเล่นยาโดยเฉพาะ และช่วงนั้นป๋าติดยาอีอย่างหนักด้วย ถึงขั้นแต่งเพลงเกี่ยวกับยาไปแล้ว 4 เพลงระหว่างนั่งเครื่องบินกลับบ้าน
2.ความสำเร็จของเพลง Stan
แทร็คที่สามประจำอัลบั้ม เพลง Storytelling ในตำนานจนกลายเป็น signature ประจำป๋า และเป็นเพลงที่ติดอันดับเพลงฮิปฮอปยอดเยี่ยมตลอดกาลจากหลายนิตยสาร เล่าเรื่องราวของ(ติ่ง)ผู้คลั่งไคล้ Eminem อย่างหนักถึงขั้นเขียนจดหมายหลายฉบับไปตามราวี เลยเถิดถึงขั้นฆ่าตัวตายไปพร้อมกับเมียท้องแก่เพื่อให้ Eminem ได้จดจำ กลายเป็นความสำเร็จสุดฉาวด้วยเนื้อหาแสนน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นความสำเร็จที่งดงามในแบบที่มีเรื่องให้เล่ากันยาวเลย
 
อย่างแรกความสำเร็จของเพลงนี้ส่งต่ออาณิสงส์ให้กับนักร้องสาวชาวอังกฤษ Dido (เจ้าของเพลง Thank You ที่ Eminem ใช้เป็นแซมปลิ้งประจำท่อนฮุก) สามารถบูสยอดขายอัลบั้ม No Angel (ที่มีแทร็ค Thank You เป็นหนึ่งในเพลงประจำอัลบั้ม) ได้ถึง 15 ล้านก้อปปี้เป็นเวลา 4 ปีต่อเนื่องนับตั้งแต่ปล่อยครั้งแรกเมื่อปี 1999 จนติดอันดับ 27 อัลบั้มขายดีตลอดกาลของ UK Chart
นอกจากความสำเร็จที่ส่งต่อให้ผู้ร่วมงานแล้ว เพลงนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นให้ป๋าได้เจอกับ Elthon John นักร้องชาวสีม่วงระดับตำนานที่ดูเหมือนทีแรกไม่น่าจะลงรอยด้วยซ้ำ เพราะป๋าขึ้นชื่อลือชาเป็นแร็ปเปอร์เหยียดเกย์อย่างสุดโต่ง และได้ทำการด่าเกย์อย่างสนุกปากในอัลบั้มนี้ไว้หมดแล้ว แต่ทั้งคู่ก็แสดงสดเพลงนี้ร่วมเวทีด้วยกัน ในงานแกรมมี่ปี 2001 (ปีที่อัลบั้มนี้เข้าชิง) ไม่ใช่แค่เป็นการลดข้อครหาเรื่องนิสัยเหยียดเกย์ของ Eminem ต่อมาทั้งคู่ยังคงเป็นมิตรแท้ต่อกัน อีกทั้งครั้งนึงในชีวิตท่านเซอร์ Elthon John คือผู้มีพระคุณต่อชีวิตป๋า ทำให้ป๋าใช้ชีวิตแบบตาสว่างเลิกยาได้สำเร็จจนถึงปัจจุบัน
ยังไม่หมดแค่นั้น ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และพีคสุดของเพลงนี้คือ การทำให้เกิดการบรรญัติศัพท์ Stan ซึ่งแปลว่า แฟนคลับผู้คลั่งไคล้ดาราศิลปิน ลงใน Oxford Dictionary อย่างเป็นทางการในปี 2017 ด้วย เพลงแม่งโคตรฮิตแล้ว แถมยังเป็นผู้บรรญัติศัพท์ภาษาอังกฤษอีกต่างหาก โคตรตำนานครับเพลงนี้
Steve Berman ตัวละครสำคัญในจักรวาล Slim Shady ที่มีตัวตนอยู่จริง
3.Steve Berman เป็นตัวละครที่มีตัวตนอยู่จริง
อีกหนึ่งตัวละครที่สร้างสีสันในจักรวาลของ Slim Shady คงหนีไม่พ้นเจ้านายไม้เบื่อไม้เมาที่คอยวิพากษ์วิจารณ์และขัดขวางการทำงานเพลงของ Eminem อยู่ร่ำไปอย่าง Steve Berman เป็น skit แนะนำตัวละครใหม่ที่โผล่มาครั้งแรกในอัลบั้มนี้ ความจู้จี้จุกจิกของตัวละครนี้กลายเป็น gimmick สุดบรรเจิด และถูกใช้ล้อเป็นตัวตลกอย่างสนุกมือ แล้วเอาไปปู้ยี้ปู้ยำในอัลบั้มต่อๆมาอย่าง The Eminem Show และ Relapse จริงๆแล้วท่าน Steve Berman ไม่ใช่ตัวละครสมมติที่จินตนาการขึ้นเอง แต่เป็นบุคคลจริงในโลกใบนี้ ซึ่งตอนนั้นแกดำรงตำแหน่งเป็นประธานฝ่ายขายและการตลาดของค่าย Interscope Records ในปัจจุบันท่าน Steve ได้เป็นรองประธานค่ายเพลงเป็นที่เรียบร้อย
Kim & Eminem
4.Kim เพลงอาฆาตแค้นเมียที่ซาดิสม์สุดในปฐพี
นอกจากเพลง Stan เป็นภาพจำแห่งความ horrorcore แล้ว อีกหนึ่งภาพจำซาดิสม์สุดโต่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเพลง Kim เพลงเนื้อหาอาฆาตแค้นเมียเก่า Kim Scott โดยเพลงนี้เป็นเพลงแรกของอัลบั้มที่ได้บันทึกเสียงหลังจากทำอัลบั้มชุดแรก The Slim Shady LP เสร็จแบบสดๆร้อนๆ ป๋าได้แรงบันดาลใจอันครุกกรุ่นหลังจากเลิกกันใหม่ๆ อารมณ์ดาวน์ๆของคนเลิกราปนเปกับภาระเรื่องลูก และปิ๊งไอเดียได้ว่าเพลงนี้ควรเป็น prequel ของ 97’ Bonnie & Clyde ป๋าไม่รอช้าที่จะระบายความเครียดผ่านบทเพลงสุดเกรี้ยวกราดนี้ทันที และท่อนว๊ากของไอ้หนุ่ม Angry Blonde กลั่นความดิบเถื่อนจนสามารถจบได้เพียงเทคเดียว
มีเรื่องประหลาดคือ ป๋าเคยส่งเพลงนี้ให้ Kim Scott เมียเก่าผู้เป็นเหยื่อในสนามอารมณ์ได้ฟังก่อนเอาไปรวมในอัลบั้มแล้ว ถึงแม้ว่าเนื้อหาจะโหดแบบโดนตรงๆก็ตาม แต่คิมกลับไม่มีการห้ามปรามแต่อย่างใด ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าเธอทนความบ้าคลั่งของสามีเก่าไปได้ไง และกลับมาแต่งงานใหม่รอบสองด้วยนะ คงเหมือนคู่รักร็อคแอนด์โรลท่านนึงในบ้านเรา ด้วยเนื้อหาที่รุนแรงสุดโต่งเกินกว่าจะทำเวอร์ชั่นคลีนได้ เป็นเหตุให้เพลงนี้ไม่มีในอัลบั้มเวอร์ชั่นคลีน และถูกแทนที่ด้วยเพลง The Kids เพลงเนื้อหาเสี้ยมสอนเด็กไม่ให้เล่นยา ซึ่งใครๆก็รู้ดีว่า เพลงนี้ช่างย้อนแย้งกับป๋า ณ ตอนนั้นเหลือเกิน
สามารถตามไปฟังเพลงนี้ได้ในเวอร์ชั่น Tour Edition มีอยู่ในสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มชั้นนำ
ปกอัลบั้ม 2 Versions ถ่ายภาพโดย Jonathan Mannion
5.เบื้องหลังปกอัลบั้มสุดคลาสสิค
ปกอัลบั้มแร็ปเปอร์ผิวขาวผมสีบลอนด์นั่งอยู่หน้าบ้านไม้เลขที่ 19946 ถนน Dresden แห่งเมืองดีทรอยต์คือบ้านป๋าในสมัยเด็กนั่นเอง นี่คือเหตุผลง่ายๆในการเลือกโลเคชั่นถ่ายหน้าปกอัลบั้มเพื่อหวนรำลึกถึงจุดกำเนิดที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีปนร้ายนั่นเอง
ปกอัลบั้มนี้ถ่ายภาพโดย Jonathan Mannion ช่างภาพที่มีผลงานปกอัลบั้มในตำนานหลายอัลบั้มไม่ว่าจะเป็น Reasonable Doubt ของ Jay-Z และ Flesh of My Flesh, Blood of My Blood ของ DMX อีกทั้ง Mannion ชื่นชมในความคิดของเจ้าของอัลบั้มที่คิดจะไม่ลืมกำพืด อยากย้อนเวลาบอกเล่ารากเหง้า ความเป็นมาของตัวเขาในอดีต และ Mannion ก็ยกให้ปกอัลบั้มนี้ติด Top 3 ปกอัลบั้มในดวงใจของเขาด้วย
6.เกือบจะไม่มีซิงเกิ้ลฮิต The Way I Am และ The Real Slim Shady ในสารระบบ ถ้าไม่ได้รับข้อเสนอแนะจาก Jimmy Ivovine ซีอีโอประจำค่าย Interscope
นอกจากเพลง Stan ที่เป็นซิงเกิ้ลสุดฮิตในตำนานอันเป็นกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้แล้ว นี่คือสองซิงเกิ้ลที่เปิดโลกของ Slim Shady อย่างแท้จริง ชนิดที่ถ้าคุณเป็นแฟนเพลงป๋าแล้วไม่รู้สองเพลงนี้ ถือว่าผิด
กว่าที่จะเป็นอัลบั้มเวอร์ชั่นไฟนอลที่เราได้ฟังจนทุกวันนี้ ยังไม่มีสองเพลงนี้ในอัลบั้มด้วยซ้ำ ซีอีโอค่าย Interscope อย่าง Jimmy Ivovine ให้ข้อเสนอแนะก่อนปล่อยอัลบั้มนี้ว่า อัลบั้มนี้ทำออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ดาร์กเกินไป และยังไม่มีเพลงไหนมีวี่แววเป็นตัวแทนซิงเกิ้ลฮิต แนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก Eminem ได้ดีพอ ในตอนนั้นเอง ป๋าหัวเสียจัดกับความเคี่ยวรากดินของจิมมี่ เกิดความกดดันตัวเองอย่างหนัก จนไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป “มึงจะให้กูทำเพลงฮิตไปอีกถึงไหน”
ป๋าเลยจำใจยอมทำตามคำชี้แนะของนายใหญ่ กลับเข้าสู่สตูดิโอเค้นเพลงออกมาจนได้ จึงก่อกำเนิด The Way I Am ซิงเกิ้ล rapcore สุดกระแทกกระทั้นจากความอัดอั้นส่วนตัวที่อยากประกาศกร้าวจุดยืนว่า กูไม่ได้เกิดมาเพื่อทำเพลงฮิตหรอกเว้ย กูเป็นของกูแบบนี้ ถ้าสังเกตดีๆ ในอินโทรเพลงนี้เป็นจิ๊กซอว์ต่อเนื่องมาจาก Steve Berman (Skit) ที่แอบจำลองสถานการณ์ที่เขาถูกค่ายกดดันให้ทำเพลงให้ปังกว่านี้ และ The Real Slim Shady เพลงแนะนำตัวเองอีกหนึ่งเพลงที่กวนตีนยียวนที่สุดในโลกอย่างที่เห็น ใครจะไปคิดว่าสองซิงเกิ้ลที่ทำภายใต้ความกดดันกลับกลายเป็นซิงเกิ้ลระดับ mega hit ลำดับต้นๆในอาชีพแร็ปเปอร์ของป๋า
ความสำเร็จของ The Way I Am ก็มีเวอร์ชั่นรีมิกซ์ตามมา ซึ่งได้ร็อคเกอร์หน้าผี Marilyn Manson มาร่วมแจมด้วย ถือเป็นโมเมนต์สำคัญในการได้เห็นเจ้าพ่อเพลง horrorcore สายร็อคและฮิปฮอปมารวมตัวกันในเพลงเดียว เวอร์ชั่นรีมิกซ์มีอยู่ในเวอร์ชั่น Tour Edition เช่นกัน
หน้าปก The Marshall Mathers LP (Tour Edition)
7.จุดกำเนิดแร็ปเปอร์สายจิกกัด
อีกหนึ่งคาแรคเตอร์แสบๆอันเป็นซิกเนเจอร์ของป๋านั่นก็คือ การจิกกัดเหน็บแนมเซเลปบริตี้ ซึ่งเราคงไม่ลงลึกดีเทลไปมากกว่านี้ว่าแต่ละคนโดนอะไรบ้าง ไม่งั้นเราอาจจะได้บทความแปลเพลงไปซะ แต่ XXL Magazine ได้เก็บรวบรวมคนที่ป๋าพูดถึงยาวเป็นหางว่าว มีทั้งแง่ดีแง่ร้าย(มากกว่า) รวมไปถึงสื่อสิ่งพิมพ์ ตัวการ์ตูนและฆาตกรในโลกจริงรวมทั้งสิ้น 49 รายชื่อ
Eminem แต่งคลอสเพลย์ Jason Voorhees ในคอนเสิร์ตเมื่อเดือนตุลาคมปี 2000
8.สถิติความป่าเถื่อน จำนวนคำหยาบคาย จำนวนการก่ออาชญากรรม และเหยื่อผู้เสียชีวิตในเพลง
นอกจากจะคลาสสิคในเรื่องสกิลแร็ปที่จัดจ้านเป็นเอกลักษณ์แล้ว ไฮไลท์สำคัญประจำอัลบั้มนี้ที่ทำให้อัลบั้มนี้ฉาว ทั้งๆที่มันเป็นความบันเทิงปรุงแต่งนั่นก็คือ สถิติความป่าเถื่อนในเนื้อหาที่เยอะเกินกว่าเด็กต่ำกว่า 18 ปีจะปิดหูฟังได้ อ้างอิงจาก XXL Magazine ได้รวบรวมสถิติความป่าเถื่อนของอัลบั้มนี้ไว้หลายด้าน
เริ่มจากคำหยาบคายที่ป๋าได้สบถไปรวมทั้งสิ้น 278 คำ โดยแบ่งได้ดังนี้ Fuck 132 คำ Shit 62 คำ Bitch 56 คำ Slut 10 คำ Fag (คำเหยียดเกย์) 15 คำ และ Whore 3 คำ ถ้าพูดคำเหล่านี้หมด เราจะได้เพลงที่หยาบคายสัดๆความยาวเกือบ 4 นาทีด้วยกัน
สถิติการก่ออาชญากรรมในเนื้อหาเพลงมีการขู่ฆ่า ทำร้ายร่างกายและก่อการปล้นไปทั้งสิ้น 53 ครั้ง และเหยื่อผู้เสียชีวิตในเพลงมีมากกว่า 12 คน เช่น Stan, เมีย Stan, วง N Sync ไม่เว้นแม้แต่คนใกล้ตัวอย่าง Kim ที่โดนโหดสุดโดยไม่ต้องสงสัย สามีใหม่ของ Kim และลูกติด แม่ของ Bizarre (แร็ปเปอร์อดีตเพื่อนสนิทร่วมแร็ปกรุ๊ป D12), กลุ่มเพื่อนที่เคยบูลลี่ป๋า Dr.Dre ที่ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงสองครั้ง รวมไปถึงพวกคุณและคุณทั้งหลายที่ได้ฟังอัลบั้มนี้ด้วย
Tracklist อัลบั้ม The Marshall Mathers LP
ต่อให้อัลบั้มนี้มีความป่าเถื่อนและโหดร้ายไม่ต่างจากการเสพย์หนังสยองขวัญ Rated R เรื่องนึง จนทำให้หลายคนสับสนอยู่พักใหญ่ว่า เราเติบโตมากับเพลงซาดิสม์แบบนี้ได้ไงวะ เราก็คงไม่ต่างกับพวกนักการเมืองบางคน และกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ลุกขึ้นประท้วงปาวๆรับไม่ได้กับเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความรุนแรงสุดโต่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเริ่มแยกแยะระหว่างความบันเทิงกับโลกจริงออก แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือแร็ปเปอร์ที่โคตรอัจฉริยะในการรังสรรค์ความโหดร้ายได้อย่างบันเทิงหฤหรรษ์ และมีเอกลักษณ์ชนิดจับตัวได้ยาก ในแบบที่ไม่มีใครเหมือน และนี่เป็นผลงาน masterpiece ที่ทุกคนยอมรับ และ iconic เสียจนแร็ปเปอร์รุ่นหลังเอามาเป็น influence ให้กับผลงานเพลงของพวกเขาเองด้วย นี่คืออัลบั้มที่ทุกคนกลับมาสรรเสิรญและยอมรับแร็ปเปอร์ผิวขาวที่ไม่ถูกจำแค่ stage name “Eminem”
เขาถูกจำในชื่อจริงว่า Marshall Mathers
โชคดีที่โพสต์ของเราทันการ ในช่วงตี 2 ของวันที่ 28 พฤษภาคมนี้(ตามเวลาประเทศไทย) Eminem จัดอีเว้นท์สุดพิเศษปาร์ตี้ครบรอบ 20 ปีอัลบั้ม The Marshall Mathers LP ใครนอนดึกสามารถไปเข้าร่วมกันได้ตามทวีตเตอร์ด้านล่างนี้ครับ
โฆษณา