นิทานเศรษฐีกับลูกชาย...
นานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งทำมาค้าขายเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในเมืองบาบีโลน(ปัจจุบันเป็นเมืองโบราณ)ซึ่งความร่ำรวยของเศรษฐีคนนี้ถือว่าอยู่ในระดับคนที่ร่ำรวยที่สุดของเมืองเลยทีเดียว
.
.
วันหนึ่ง..เศรษฐีเรียกลูกชายซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวให้เข้ามาพบ และ พูดกับลูกชายใจความว่า
“ข้ามีความปรารถนาให้เจ้าได้สืบทอดสมบัติของข้า แต่ ข้าจะมอบให้เจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าได้พิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้าจะคู่ควรและมีความสามารถเพียงพอที่จะดูแลสมบัติเหล่านี้ได้ โดย การที่เจ้าต้องออกเดินทางไปเพียงลำพังและต้องสร้าง สมบัติ ชื่อเสียง และ บารมี ด้วยมือของเจ้าเองขึ้นมา โดย ข้าจะมอบของ2สิ่งให้เจ้าเพื่อเป็นใบเบิกทาง
อย่างแรก คือ “ถุงที่บรรจุทองคำจำนวนหนึ่ง”
อย่างที่สอง คือ แผ่นดินเหนียวจารึกที่แกะสลัก”กฎ5ข้อของทองคำ”ซึ่งเป็นตัวแทนภูมิปัญญาของข้า
.
.
เมื่อถึงเวลาที่ลูกชายเศรษฐีคนนี้ได้ออกเดินทาง เขาได้ออกเดินทางไกลไปยังเมืองต่างๆ พบทั้งผู้ร่วมทาง และ คำชักชวนในการลงทุนทำการค้ามากมาย ดังนั้น ช่วงแรกสิ่งที่ลูกชายเศรษฐีนำออกมาใช้ด็มีอยู่อย่างเดียวเลยก็คือ “ถุงทองคำ”ที่มักจะใช้จ่ายออกไปอย่างไม่รู้คุณค่า ทั้งการซื้อสิ่งของอำนวยสะดวกสบายที่ตนเคยชินจากการเป็นลูกเศรษฐี และ ลงทุนไปกับการลงทุนที่เลวร้าย เช่น การพนันแข่งม้า และ การลงทุนกับคำชักชวนของเพื่อนผู้โง่เขลาที่คิดว่าตนเองรู้ทุกอย่าง
.
.
สุดท้าย...ลูกชายเศรษฐีคนนี้ก็ทำให้”ถุงทองคำ”ที่พ่อให้ไว้หมดไปอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อทองคำหมด ลูกชายเศรษฐีไม่มีทางเลือก จึงต้องขายสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในตัว ทั้งเสื้อผ้าราคาแพง และ ม้าคู่ใจ เพื่อประทังชีวิต
เรียกว่าตอนนี้คือช่วงเวลา”ตกต่ำ”และ”ขมขื่น”ของผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในฐานะของ”ลูกชายเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดแห่งนครบาบีโลน”
.
.
ในห้วงเวลาแห่งความมืดมนของชีวิตนั้น ผู้ชายคนนี้ได้นึกขึ้นได้ว่า”เรายังไม่ได้หมดสิ้นทุกอย่างนี่นา”
.
.
ถูกต้อง..เขานึกขึ้นได้ว่าเขายังมีแผ่นดินเหนียวจารึก ที่แกะสลัก”กฎ5ข้อของทองคำ”ที่เป็นตัวแทนของภูมิปัญญาของพ่อของตนอยู่ เขาจึงรีบหยิบแผ่นดินเหนียวชิ้นนั้นขึ้นมาดูอย่างเร็วไว และ เขาก็พบว่าแผ่นดินเหนียวได้บันทึกกฎ5ข้อแห่งทองคำ ใจความว่า
.
.
“ประการที่1 ทองคำย่อมหลั่งไหลมามากขึ้นเรื่อยๆ สู่ทุกคนที่เก็บออมไม่น้อยกว่า1ส่วน10ของรายได้ทั้งหมด
.
.
ประการที่2 ทองคำย่อมเต็มใจทำงานอย่างขยันขันแข็งให้กับคนที่นำมันไปใช้ทำงานต่อให้เกิดออกดอกผล
.
.
ประการที่3 ทองคำย่อมภักดีอย่างเหนียวแน่นต่อเจ้าของที่ชาญฉลาดและรอบคอบ ที่จะนำมันไปทำงานอย่างชาญฉลาดภายใต้คำแนะนำของคนที่มีความฉลาดในการจัดการ
.
.
ประการที่4 ทองคำย่อมหลุดลอยจากมือผู้เป็นเจ้าของ หากผู้เป็นเจ้าของให้มันทำงานในที่ที่ตนเองไม่ถนัด หรือ ผู้เชี่ยวชาญไม่เห็นด้วย
.
.
ประการที่5 ทองคำย่อมหลบหนีจากคนที่บังคับให้มันหารายได้แบบเป็นไปไม่ได้หรือจากคนที่ทำตามคำแนะนำล่อใจของคนเจ้าเล่ห์เจ้าอุบาย หรือ จากคนที่นำมันไปลงทุนด้วยความอ่อนประสบการณ์และด้วยความปรารถนาอันเพ้อฝันของตน”
.
.
ลูกชายเศรษฐีคนนั้น ได้ทำความเข้าใจและท่องจำกฎ5ข้อแห่งทองคำอย่างรวดเร็ว และ ดำเนินชีวิตหลังจากนั้นด้วยกฏ5ข้อนี้จนสามารถสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียงเงินทองได้อย่างมากมายมหาศาลและกลับบ้านของตนเองได้อย่างภาคภูมิใจอย่างที่สุด
.
.
เมื่อกลับมา เขาได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้พ่อของเขาฟัง พ่อของเขาซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
โดยการที่กลับมาพบพ่อครั้งนี้ ลูกชายของเศรษฐีได้พกถุงทองคำ3ถุงใหญ่ติดตัวมาด้วย และ นำมาวางต่อหน้าพ่อของตน และ กล่าวว่า
.
.
“ทองคำถุงแรกข้าขอใช้คืนพ่อสำหรับทองคำถุงแรกที่พ่อมอบให้ในวันที่ข้าจากไป ส่วนทองคำอีก2ถุงข้อขอมอบให้ท่านพ่อเป็นค่าแผ่นดินเหนียวสลักกฎ5ข้อแห่งทองคำ”
.
.
“พ่อข้า ณ เวลานี้ ลูกเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ เงินทองแต่อย่างใด แต่ มันคือความรู้และภูมิปัญญาต่างหากที่มีค่าที่ไม่สามารถประเมินได้”
.
.
“แม้ว่าลูกจะได้รับเงินทองที่มากมายมหาศาลเท่าใด แต่ หากขาดความรู้และปัญญาแล้วไซร้ลูกก็มิอาจรักษามันไว้ได้ แต่ หากลูกเติมเต็มตนเองด้วยความรู้ ประสบการณ์ และปัญญา แม้ลูกจะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย ลูกก็สามารถสร้างเงินทองได้อยู่ร่ำไป”
.
.
และลูกชายเศรษฐีก็ได้สืบทอดความมั่งคั่งยิ่งใหญ่จากผู้เป็นพ่อและเป็นเช่นนั้นต่อไปตราบนานเท่านาน..
.
.
เราได้รับบทเรียนอะไรจากนิทานเรื่องนี้ครับ?
สำหรับผมมี3ข้อหลักๆครับ
.
.
ประการแรก นิทานเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ“เศรษฐีข้างบ้าน” ( The Millionaire Next Door) ที่เขียนโดย ดร.โธมัธ เจ สแตนลีย์ และ วิลเลียม ดี.แดนโก ซึ่งภายในหนังสือเล่มนั้น เนื้อหาเอามาจากงานวิจัยที่ผู้เขียนได้ทำขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งของงานวิจัยพูดถึง”เศรษฐีมรดก”ที่ไม่ได้ร่ำรวยมาจากลำแข้งของตนเอง แต่ ร่ำรวยมาจากทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่ทิ้งเอาไว้ให้เป็นมรดก
ซึ่งงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ มักมีพฤติกรรมการใช้เงินแตกต่างจากพ่อแม่ของตนหรือเศรษฐีที่สร้างตัวขึ้นมาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ซึ่งแน่นอนที่มักจะเป็นไปในทาง”ลบ” ฟุ่มเฟือยมากกว่า เห็นคุณค่าของเงินน้อยกว่า และ ลงทุนได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่า