Blockdit Logo (Mobile)
อยากเล่า
•
27 พ.ค. 2020 เวลา 12:26 • ประวัติศาสตร์
ทำไมระยะทางวิ่งมาราธอน ถึงเป็น 42.195 กิโลเมตร?
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ทุกคน กลับมาเจอกันอีกครั้งที่เพจ “อยากเล่า” นะครับ
ผมคิดว่าคงมีเพื่อน ๆ หลายคนที่รักสุขภาพ ชอบวิ่งเป็นการออกกำลังกาย หรือคนที่จริงจังถึงขนาดไปลงแข่งมาราธอนด้วยก็คงมีไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ?
และสำหรับคนรักสุขภาพก็คงทราบกันดีครับว่าระยะทางการแข่งมาราธอนนั้นอยู่ที่ 42.2 กิโลเมตร หรือถ้าให้เป๊ะ ๆ กว่านั้นก็คือ 42.195 กิโลเมตร
1
แล้วทำไมระยะทางการวิ่งมาราธอนถึงเป็นตัวเลขที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนั้นล่ะ เป็น 40 กิโลเมตรหรือ 42 กิโลเมตรเป๊ะ ๆ ไม่ได้เหรอ?
ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนยังไม่ทราบ เดี๋ยววันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ
ก่อนที่จะเข้าหัวเรื่องหลัก เรามาเริ่มกันที่ประวัติมาราธอนกันก่อนดีกว่าครับ
ตามประวัติศาสตร์กระแสหลักที่มีคนเชื่อกันมากที่สุด การวิ่งมาราธอนเกิดจากเหตุการณ์เมื่อประมาณ 2500 ปีที่แล้ว หรือ 490 ปีก่อนคริสต์ศักราชครับ
ในตอนนั้น เปอร์เซียมีแผนที่จะยกทัพมาครอบครองกรุงเอเธนส์และได้กรีธาทัพเรือผ่านทะเลแดงมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็แน่นอนครับว่าฝ่ายกรีกหรือกรุงเอเธนส์ก็ไม่ได้จะรออยู่เฉย ๆ ให้เขามายึดเมืองอย่างแน่นอน
ฝ่ายเอเธนส์ได้นำกองทัพฝ่ายของตัวเองมาตั้งรับรอการโจมตีของทัพเปอร์เซียบริเวณทุ่งมาราธอน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าทั้งสองฝ่ายมีกำลังรบที่แตกต่างกันมากเกินไปครับ ฝ่ายเอเธนส์จึงได้ส่งนายทหารสื่อสารนามว่า “ฟิดิปปิดีส” (Pheidippides) ไปขอความช่วยเหลือที่กรุงสปาร์ตาให้ทางนั้นส่งกองทัพมาช่วยเหลือ
รูปปั้น “ฟิดิปปิดีส” ที่ถนนมาราธอน
ฟิดิปปิดีสได้วิ่งไปกลับจากเอเธนส์ถึงสปาร์ตามากกว่า 240 กิโลเมตรเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งช่วงเวลาถัดจากนี้ก็ค่อนข้างคลุมเครือและมีหลายทฤษฎี บ้างก็ว่าทัพเอเธนส์เอาชนะทัพเปอร์เซียได้ก่อนที่ทัพสปาร์ตาจะยกทัพมาช่วย บ้างก็ว่าทัพเอเธนส์ได้ยื้อตั้งรับไว้จนความช่วยเหลือมาถึง
แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลสรุปของสงครามก็ชัดเจนครับ คือกรุงเอเธนส์ได้รับชัยชนะในศึกที่ทุ่งมาราธอนแห่งนี้ และหลังจากนั้นฟิดิปปิดีสก็ได้วิ่งไปจากทุ่งมาราธอนไปจนถึงกรุงเอเธนส์เพื่อบอกข่าวดีให้กับชาวเมืองได้รับทราบ
1
หลังจากวิ่งจากทุ่งมาราธอนเป็นระยะทางกว่า 40 กิโลเมตรโดยไม่มีการหยุดพัก ฟิดิปปิดีสได้ตะโกนออกมาว่า “νενικήκαμεν” (nenikekamen) หรือ “เราชนะแล้ว” เป็นการประกาศชัยชนะให้กับชาวเมืองได้รับรู้ และหลังจากนั้นเขาก็สิ้นใจตายลงทันที
ซึ่งแม้ภายหลังจะมีนักประวัติศาสตร์หลายคนทักท้วงเรื่องระยะทางการวิ่งของฟิดิปปิดีส หรือชื่อของนักวิ่งจริง ๆ ควรจะชื่อว่า ฟิลิปปิเดซแต่ก็นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นครับ เพราะเมื่อกีฬาโอลิมปิกได้จัดขึ้นอีกครั้ง (อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความของเพจ “อยากเล่า” ลิงก์นี้เลยครับ > https://www.blockdit.com/articles/5ec3aa3e9faac5174ca9a311/#) ทางเจ้าภาพหรือประเทศกรีซก็ต้องการจะรื้อฟื้นตำนานนักวิ่งฟิดิปปิดีสผู้นี้ขึ้นอีกครั้ง
1
ดังนั้นในงานโอลิมปิกที่กรุงเอเธนส์ปี 1896 การแข่งกีฬาวิ่งทนหรือ “มาราธอน” ก็ได้กำเนิดขึ้นโดยตั้งชื่อตามชื่อสมรภูมิที่ทุ่งมาราธอน และระยะทางกำหนดอยู่ที่ 40 กิโลเมตรซึ่งเป็นระยะทางที่ฟิดิปปิดีสวิ่งตามตำนาน
ภาพการวิ่งมาราธอนในสมัยนั้น
อ่านมาถึงตอนนี้เพื่อน ๆ ก็คงรู้สึกเอ๊ะใช่ไหมครับ เพราะระยะทางมาราธอนจริง ๆ มันคือ 42.195 ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมระยะทางในการแข่งครั้งนี้คือ 40 กิโลเมตรล่ะ?
ที่มาของตัวเลข 42.195 กิโลเมตรนี้จริง ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ เรียกได้ว่าเรียบง่ายจนน่าหัวเราะด้วยซ้ำ
คือในการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงลอนดอนปี 1908 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ผู้เป็นกษัตริย์ของอังกฤษในตอนนั้นต้องการเห็นโฉมหน้าของผู้เข้าแข่งขันมาราธอนจากหน้าวังของตัวเอง เลยเพิ่มระยะทางการวิ่งมาราธอนเป็น 42.195 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางจากหน้าพระราชวัง Windsor ไปจนจบที่สนาม White City Stadium พอดี
1
ง่าย ๆ แบบนี้แหละครับ (ฮา)
ภาพโฆษณางานโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน ปี 1908
แต่เอาจริง ๆ แล้ว ระยะทางการวิ่งมาราธอนในการแข่งขันโอลิมปิกปีแรก ๆ ก็ไม่ได้กำหนดตายตัวหรอกครับ อย่างในโอลิมปิกปี 1900 ระยะทางก็อยู่ที่ 40.26 กิโลเมตร หรือในปี 1920 ที่ระยะทางอยู่ที่ 42.75 กิโลเมตร
1
ดังนั้นเพื่อความเป็นมาตรฐาน สหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติเลยกำหนดระยะทางให้เป็นระยะทางเดียวกัน คือ 42.195 กิโลเมตรตามงานโอลิมปิกในปี 1908 และเริ่มใช้เป็นมาตรฐานตั้งแต่ปี 1924 จนถึงปัจจุบัน
แถมก่อนจบสักเล็กน้อย ทราบหรือไม่ครับว่าการแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ปี 1896 ผู้ชนะการแข่งขันมาราธอนคือชายที่ชื่อว่า Spyridon Louis (สปิริดอน หลุยส์) และเขาคนนี้ก็เป็นชาวกรีซเช่นเดียวกับในตำนานครับ
สปิริดอน หลุยส์
เป็นไงบ้างครับกับเรื่องราวของมาราธอนในครั้งนี้ ชื่นชอบกันหรือเปล่าครับ
เช่นเคยครับ ถ้าชอบบทความแบบนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามได้ที่เพจ “อยากเล่า” นะครับ
โฆษณา