27 พ.ค. 2020 เวลา 11:19 • ธุรกิจ
การพิมพ์เงินที่ไม่มีที่สิ้นสุด: ตอนนี้ Fed กำลังซื้อ ETFs
Infinite money printing: Fed now buying ETFs
ถ้าหากพวกคุณกำลังคิดว่า
พวกเขาไม่สามารถคิดไอเดียบ้าๆออกมาได้อีกเเล้ว
Federal Reserve ประกาศเมื่อคืนที่ผ่านมาว่าพวกเขาจะเริ่มซื้อ Exchange Traded Funds โดยมีผลทันที
เพื่อความชัดเจน นี่หมายความว่า Fed
กำลังจะเสก(พิมพ์)เงินจากกลางอากาศ
เเละเอาเงินที่พิมพ์ใหม่นี้เข้าซื้อ ETFs
แล้วก็ไม่ใช่กองทุน ETF ทั่ว ๆไปนะ
เเต่ Fed มีเป้าหมายไปที่ ETFs ที่ถือโดยบริษัทเอกชน
(คนที่ตามอ่านบทความของบังมาตลอดคงพอจะรู้ว่าทำไม)
จุดสำคัญก็คือ Fed ต้องการจะ bailout
บริษัทเจ้าของหุ้นกู้ที่กำลังจะล้มละลายทั่วประเทศ
ในสถานการณ์ปกติทั่วไป
บริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดกลางจะสามารถสร้างหนี้โดยการออกหุ้นกู้ได้
นี่เป็นเรื่องปกติ
แม้แต่ธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีสุขภาพการเงินที่ดี
ก็มักจะมีหนี้สินด้วยการออกพันธบัตรด้วยกันทั้งนั้น
ตัวอย่างเช่น Apple
Apple ได้รับผลกำไรมาหลายปีแล้ว แต่บริษัทกลับมีหนี้ประมาณ 90 พันล้านดอลลาร์และพวกเขาเพิ่งออกหุ้นกู้อีก 8 พันล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
บริษัทต่างๆทั่วโลกก็กำลังทำเเบบเดียวกัน
ยอดรวมของหุ้นกู้บริษัทเหล่านี้สูงมากๆ..
tens of trillions dollars
ปัญหาที่ชัดเจน คือ มีธุรกิจนับไม่ถ้วนทั่วโลก
ทั้งใหญ่และเล็ก ที่ดู ๆ แล้วไม่น่าจะรอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้เลย
Airlines, hotels, restaurant chains, factories,
shipping companies, retail stores, daycare facilities, construction companies เเละอื่นๆ
ธุรกิจส่วนใหญ่ของกิจการที่กล่าวมานี้ล้วนแต่กู้ยืมกันเกินตัวและในเมื่อไม่มีรายรับเข้ามา
มันก็จะต้องมีคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้น
ในตลาดพันธบัตรอย่างเเน่นอน
( giant wave of defaults in the corporate bond market.)
American Airlines มีหนี้ $21,000 ล้าน
มันไม่มีโอกาศเลยที่พวกเขาจะสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้
และมันก็จะจุดชนวนการ default ในหุ้นกู้ของพวกเขา
บริษัทอื่น ๆ อีกนับพันก็อยู่ในสภาพเดียวกัน
ในไม่ช้า หุ้นกู้เหล่านี้ก็จะครบกำหนด และบริษัทต้องใช้คืนเงินต้น
มันไม่เหมือนอย่างที่คุณไปจำนองบ้านนะ
principal จะค่อย ๆลดไปเรื่อย ๆ
หลังจากผ่านไป 20 - 30 ปี
แต่หุ้นกู้จะจ่ายแค่ดอกเบี้ยมาโดยตลอด
การจ่ายเเบบนี้ที่เรียกว่า คูปอง (coupon)
ซึ่งเป็นการจ่ายดอกเบี้ยปกตินั้นเเหละ
จากนั้นจะชำระคืนเงินต้นทั้งหมดเมื่อพันธบัตรครบกำหนด
หลังจากผ่านไป 7-10 ปี
เมื่อหุ้นกู้ของบริษัทเหล่านี้จะครบกำหนด
บริษัทเกือบทั้งหมดก็มักจะออกหุ้นกู้ตัวใหม่
มันเป็นการ rollover ตั๋ว
หรือก็คือการรีไฟแน้นซ์นั่นแหละครับ
แทนที่จะต้องจ่ายคืนต้น 1 พันล้านที่กำลังจะครบ
ก็ออกหุ้นกู้ใหม่ 1 พันล้านต่อไปอีกสิบปี..
ด้วยวิธีนี้พวกเขายังคงหมุนวงรอบหนี้ของพวกเขาได้
และในเวลาปกติวิธีการนี้มักจะใช้ได้ดีแต่สำหรับเวลานี้มันไม่ปกติ
เวลานี้ตลาด Bond มันถูกแช่แข็งอยู่
ไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากซื้อหุ้นกู้กันหรอก
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Airline หรือเรือสำราญ
แล้วบริษัทพวกนี้จำนวนมากก็มี Bond
ที่กำลังจะครบกำหนดนับพันๆล้านดอลล่าร์
(billions of dollars)
**มันจะสามารถ Roll Over ได้ยังไงถูกมั้ยครับ
นักลงทุนที่ถือหุ้นกู้พวกนี้ไว้ในมือก็เตรียมตัวรับความเสียหายได้เลย
ลองนึกภาพ บริษัท Rude Airways มีหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านที่กำลังจะครบกำหนด แต่ Rude Airways ไม่มีเงินสดในมืออยู่เลยและก็ไม่มีหวังที่จะสร้างรายได้ในช่วงเวลาการ lockdown นี้ด้วย
Rude Airways defaults..
หลังจากนั้นก็มี กองทุน Hedge Fund A ที่ดันไปถือบอนด์ของ Rude
อยู่หลายพันล้านดอลล่าร์
พอ Rude Airways Defaults Hedge fund A ก็จะพังไปด้วย
Hedge Fund A ดันมีหนี้กับธนาคาร B อยู่จำนวนมาก
พอ Hedge Fund A พัง ธนาคาร B ก็ต้องรับความเสียหายลูกใหญ่
พวกคุณพอจะเข้าใจกันเเล้วนะ
ถ้าบริษัทนับพันๆที่มีหุ้นกู้รวมๆกันหลายๆตัวพร้อมใจกันไม่จ่ายหนี้
ปฏิกริยาลูกโซ่ในระบบการเงินจะส่งผลให้เกิดความหายนะ
นี่คือสิ่งที่ Federal Reserve กำลังพยายามปกป้องอย่างสุดชีวิต
ด้วยเครื่องมืออย่างเดียวที่พวกเขามี PRINTING MONEY
Fed ก็จะเสกเงินจากกลางอากาศ
เพื่อเข้าซื้อหุ้นกู้บริษัทเอกชน และ ETF ที่ถือ Bond พวกนี้
Their plan is to help companies
like Rude Airways roll over their debts
เเละป้องกันไม่ให้ระบบการเงินต้องพังลงไป
Fed ประมาณการว่าจะมีการใช้เงินถึง $750,000 ล้านในตอนแรก
และก็แน่อยู่แล้วว่า Fed จะพิมพ์เพิ่มข้ามตัวเลขนี้ไปเเน่นอน
Fed ได้สร้างภาระไว้แล้ว $2.6 ล้านล้านดอลล่าร์
เเละจะยังสร้างอีกมากในอนาคต
ยังมีอีกหลายปัญหาที่กำลังจะตามมา
พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่า
ผลของโรคระบาดในครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจ
major inflation? Depression? Stagflation?
เเต่ที่เรารู้เเน่ๆคือคือ ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังพิมพ์เงินกันอย่างมหาศาล นี่คือนโยบาย whatever it takes
ในช่วงเวลานี้ ผมจะไม่บอกหรอกนะว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันถูกหรือผิด
มันมีความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ที่เเตกต่างกันมากมาย
possible scenario is on the table
But historically speaking..ทุกครั้งที่ธนาคารกลางมีการ Devalue Currencies ด้วยการพิมพ์เงินกันอย่างมหาศาล เมื่อถึงเวลา real assets
(โดยเฉพาะทองคำเเละโลหะเงิน)
ก็จะเป็น safe havens จากวิกฤตทางการเงินที่จะตามมาจากผลที่ธนาคารกลางทำ..
เพราะความรู้คือของขวัญที่ดีที่สุด📚
ตอนนี้บังได้สร้างซีรีส์อัลบั้มของบทความไว้เเล้ว
สำหรับคนที่สนใจสามารถติดตามอ่าน
ย้อนหลังได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยนะครับ
ถ้าตลาดหุ้นกำลังจะถล่ม
เราอยู่ในจุดที่ต่ำสุดเเล้วหรือยัง ?

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา