28 พ.ค. 2020 เวลา 08:30 • การศึกษา
ปริศนา "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา"
สำหรับสามเหลี่ยมปีศาจที่พูดถึง หลายๆคนก็น่าจะนึกถึงสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา แต่จริงๆแล้วสามเหลี่ยมปีศาจมีอยู่ทั่วโลก ตามความหมายจริงๆสามเหลี่ยมปีศาจ คือพื้นที่ในท้องทะเลทั่วโลกที่มีการสูญหายของเรือและเครื่องบินอยู่บ่อยครั้ง ในพื้นที่แถวนั้นจะมีสภาพอากาศที่เลวร้ายตลอดทั้งปี และพื้นที่นั้นจะมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่ 3 จุด เลยถูกตีความว่าเป็นสามเหลี่ยมปีศาจนั่นเอง
1
ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดในสามเหลี่ยมปีศาจทั่วโลก ทำให้หลายๆคนตีความไปหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสภาพอากาศที่เลวร้ายตลอดทั้งปี หรือบางคนก็บอกว่า เป็นเรื่องของอสูรใต้ท้องทะเลที่บุกเข้ามาจู่โจมเรือก็เป็นได้ หรือบางคนก็ลือไปถึงเรื่องพลังงานเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลี้ลับต่างๆ มนุษย์ต่างดาว หรือประตูมิติที่ดูดเรือและเครื่องบินเข้าไปก็มีเช่นกัน
ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ได้กล่าวขึ้นมาแบบมั่วๆ แต่มีหลักฐานในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้อยู่จริงๆ แต่ตรงนี้ต้องแยกออกเป็นกรณี กรณีแรกขอยก ทฤษฎีเกี่ยวกับพลังงานลี้ลับหรือมนุษย์ต่างดาว ตามบันทึกข้อมูลได้บอกไว้ว่า ในปี 1945 กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ส่งเครื่องบินจำนวน 5 ลำ ออกบินปฏิบัติภารกิจ แต่หลังจากที่ออกบินได้ไม่นาน เครื่องบินทั้ง 5 ลำก็ได้หายออกไปจากจอเรดาร์ ซึ่งในเวลาต่อมาทางกองทัพเรือของสหรัฐอเมริกา ก็ได้มีการส่งเครื่องบินกู้ภัยไปที่จุดเกิดเหตุ แต่เมื่อกู้ภัยไปที่จุดเกิดเหตุก็เกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นกันคือเครื่องบินกู้ภัยได้หายไป และที่สำคัญกว่านั้นคือได้หายไปในจุดเดียวกับเครื่องบินทั้ง 5 ลำหายไป
ซึ่งถ้าเรามองตามหลักความเป็นจริง บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาถูกตั้งอยู่ในพื้นที่สามจุดที่เชื่อมกันนั่นก็คือ หมู่เกาะBermudaทางปลายสุดของรัฐ Florida และ Porto Rico
ซึ่งทุกครั้งที่มีการสูญหายของเรือและเครื่องบินในบริเวณนี้ ปรากฏว่าไม่มีการค้นพบซากเรือ หรือซากเครื่องบินเลย หรือหลักฐานอะไรก็แล้วแต่ที่บ่งบอกว่ามีการตกหรือการอับปางของเรือในบริเวณนี้ เลยค่อนข้างที่จะน่าแปลกใจมาก เพราะหลักความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เรือจมลงไปด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพอากาศที่แย่ เกิดพายุ เกิดจากสัตว์ร้ายโจมตี มันต้องมีเศษซากเหลือออกมาบ้าง และในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีหมู่เกาะอยู่หลายจุด ยังไงก็ต้องมีโอกาสที่เศษซากเหล่านั้นไปตกค้างตามหมู่เกาะ แต่ตรงนี้กลับไม่มีการค้นพบ เลยทำให้คนกลุ่มหนึ่งตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือเปล่าที่ไม่มีการค้นพบซากหรือเศษอะไรเลย อาจจะหลุดเข้าไปในประตูมิติอื่น และไม่สามารถกลับมาได้ หรืออาจจะถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป ตรงนี้เป็นเพียงทฤษฎีที่เขาตั้งขึ้นเท่านั้น
ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่ง ที่มีความเป็นไปได้เช่นกันนั่นก็คือทฤษฎีที่บอกว่า อาจจะโดนอสูรใต้ท้องทะเลโจมตีเลยทำให้เรืออับปาง ซึ่งทฤษฎีนี้มีการอ้างอิงและบันทึกข้อมูลไว้ด้วย เมื่อปี 1965 ได้มีเจ้าของโรงแรมหรูชื่อดัง ในย่าน Miami คนนึง ขับสปีดโบ๊ทออกไปพร้อมกับพ่อของเขาในย่านชายฝั่ง Florida ที่อยู่ในเขตพื้นที่ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงทางเจ้าหน้าที่ชายฝั่งก็ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ จากบริเวณกลางทะเล โดยเจ้าของโรงแรมได้ส่งสัญญาณมาบอกว่า ได้มีอะไรบางอย่างมากระแทกใต้ท้องเรือของพวกเขาอย่างรุนแรง จนทำให้เรือเสียหายและเครื่องยนต์ไม่สามารถใช้งานได้ เลยต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน และแจ้งมาที่เจ้าหน้าที่ ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ทางทะเลต่างๆ มันเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะวิกฤต ทุกวินาทีสำคัญมาก ถ้าเรือเสียกลางทะเลเราไม่รู้เลยจะอับปางตอนไหน เขาเลยรีบไปที่จุดที่ขอความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว แต่พอเจ้าหน้าที่ชายฝั่งไปถึงจุดที่ขอความช่วยเหลือ กลับไม่เจอผู้ที่ขอความช่วยเหลือและเรือของพวกเขาเลย ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างที่จะน่าแปลกใจมากและข้อมูลตรงนี้ ยังยืนยันจากเจ้าหน้าที่อีกว่า จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เจอคนที่ขอความช่วยเหลือเลย
จากหลักฐานตรงนี้เลยทำให้คนส่วนหนึ่งเชื่อไปว่า อาจจะเป็นอสูรหรือสัตว์ยักษ์ใต้ท้องทะเล ที่บุกเข้ามาโจมตี หรือเข้ามากระแทกเรือหรือเปล่า เพราะในแถบบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นทะเลที่มีปลาแปลกๆเยอะมาก และมีการค้นพบปลาขนาดใหญ่หลายชนิด รวมถึงมีจุดบางจุดที่เขาคาดการณ์กันว่า อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรือสูญหายไปก็เป็นได้ นั่นก็คือจุดที่เรียกว่าปล่องน้ำเงิน
ถ้าให้เปรียบเข้าใจง่ายๆ ปล่องน้ำเงินก็เปรียบเสมือนอุโมงค์ใต้ท้องทะเลที่มีความลึกมาก และจะอยู่ตามหุบผาใต้น้ำ หรือแหล่งปะการังน้ำลึกทั่วไป และแน่นอนว่าทะเลที่มีความลึกนี้มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่อาจจะมีอสูรหรือสัตว์ทะเลยักษ์อาศัยอยู่ แต่ทฤษฎีปล่องน้ำเงินนี้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อต่างกัน โดยเขาบอกว่า ปล่องน้ำเงินนี้มันคือถ้ำใต้ท้องทะเล ที่มีทางออกไปเป็นอุโมงค์หลายช่องทางมาก ซึ่งบริเวณปล่องน้ำเงินที่มีอุโมงค์เป็นจำนวนมากนั้น ก็มีปลาอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน และปลาเหล่านั้นก็ได้ว่ายไปตามอุโมงค์หลายๆอุโมงค์ จนทำให้เกิดน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้น และแน่นอนว่าถ้ามีเรือหรือเครื่องบินตกลงไปในบริเวณพื้นที่ทะเลตรงนั้น มันจะถูกดูดเข้าไปในน้ำวนและจมอยู่ใต้ท้องทะเล ไม่มีวันขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เพราะถ้าเกิดโดนน้ำวนดูดเข้าไปจริงๆก็คงจะไม่มีซากลอยขึ้นมาให้เราเห็นอย่างแน่นอน แต่ทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในปัจจุบัน มีอีกหนึ่งทฤษฎีที่เขาเชื่อกันว่า น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดและเป็นไปได้มากกว่าทฤษฎีน้ำวนนั่นก็คือ ทฤษฎีของเมฆระเบิด ซึ่งทฤษฎีเมฆระเบิดเพิ่งได้มีการออกแนวคิดมาไม่กี่ปีนี้เอง และเป็นที่สนใจของทั่วโลกมาก เพราะมีความเป็นเป็นไปได้ค่อนข้างสูงระดับนึงเลย โดยเขาบอกว่าเมฆระเบิดเกิดจากความผิดปกติของสภาพอากาศที่เกิดการระเบิดจนทำให้ก้อนเมฆบริเวณนั้นแตกออกเป็นรูปหกเหลี่ยม
เลยทำให้เกิดพายุหมุนขนาดใหญ่ ที่มีความเร็วลมสูงถึง 280 km/hr หรืออาจจะมากกว่านั้น เลยทำให้เกิดคลื่นทะเลสูงกว่า 45 ฟุต ซึ่งแน่นอนว่าถ้าทะเลสูงถึงขนาด 45 ฟุต ไม่มีเรือลำไหนสามารถแล่นผ่านคลื่นสูงขนาดนี้ได้แน่นอน และพายุหมุนที่มีความเร็วลมกว่า 280 km/hr ถ้าเครื่องบินบินผ่าน 100% ยังไงก็ตกทุกลำ
แต่ก็อย่างที่บอกไปว่านี่เป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่ในปัจจุบันคนส่วนมากเชื่อเท่านั้น แต่ถามว่ามันยืนยันได้แล้ว 100% หรือไม่ ยังยืนยันไม่ได้ แต่ที่ทฤษฎีนี้คนพูดถึงกันมากเพราะมีการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมมาวิเคราะห์เพียงเท่านั้น
ถามว่าในทฤษฎีของเมฆระเบิดสามารถบอกได้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือเปล่า มันก็ยังบอกไม่ได้ทุกอย่าง สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และมีบันทึกไว้มันค่อนข้างที่จะขัดกับทฤษฎีนี้พอสมควร อย่างกรณีของบันทึกเครื่องบินหลายลำที่ส่งสัญญาณกลับมาที่ศูนย์การบินได้ และสื่อสารได้ช่วงหนึ่งก่อนที่จะหายไป เขาได้บอกไว้ว่าในขณะที่พวกเขากำลังบินผ่านบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เขาไม่สามารถควบคุมเครื่องบินได้เลย และท้องฟ้าในขณะที่เขาบินอยู่จากพื้นที่ที่เป็นท้องฟ้าแจ่มใส ก็กลายเป็นพื้นที่ที่หมอกหนาทึบ และที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นนั่นก็คือ หมอกที่พวกเขาเห็นกันเป็นหมอกสีเหลือง
โฆษณา