29 พ.ค. 2020 เวลา 05:38 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
แชร์ข้อมูลการเปรียบเทียบ รายละเอียดและประสิทธิภาพการทำงานของ iPhone SE 2020 กับ iPhone 11 Pro : สองทางเลือกระหว่างประหยัดหรือท็อปคลาส
อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า iPhone 11 Pro เป็นรุ่น Top ของค่าย Apple ด้วยกล้องหลังสามตัว แบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันและหน้าจอ OLED ความละเอียดสูง แต่ก็แลกมาด้วยราคาเริ่มต้นที่สูงถึง 33,290 บาท 64GB ในขณะที่รุ่นที่ออกในเวลาไล่เลี่ยกันไม่ถึงปีอย่าง iPhone 11 64 GB และ iPhone SE 2020 64 GB มีราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท และ 14,900 บาท ถ้าดูจากราคาก็น่าคิดหนักพอสมควรละครับเพราะราคาถูกกว่ากันถึงเท่าตัว
iPhone 11 pro VS iPhone SE 2020
เรามาดูกันเลยว่าระหว่าง iPhone 11 pro และ iPhone SE 2020 ที่มีส่วนต่างราคาถึง 18000 บาท มีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง?
iPhone SE ออกแบบให้ดูกะทัดรัด ในขณะที่ iPhone 11 Pro เน้นถึก ทนทาน
iPhone 11 pro VS iPhone SE 2020
iPhone SE 2020
iPhone 11 pro
iPhone SE 2020 มีขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ใช้การออกแบบโดยรวมเหมือนกับ iPhone 8 นั่นหมายความว่าปุ่มโฮมกลับมาแล้ว! ส่วน iPhone 11 Pro มีการออกแบบใหม่ให้ดูสปอต์ด้วยขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้วและแน่นอนว่าไม่มีปุ่มโฮม
Frame ของ iPhone SE 2020 ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียม ในขณะที่ iPhone 11 Pro ใช้สแตนเลสสมกับเป็นรุ่น Top นอกจากนี้ apple ยังบอกอีกด้วยว่ากระจกหน้าและหลังที่ใช้สำหรับ iPhone 11 Pro มีความแข็งแรงทนทานที่สุดในบรรดา iPhone ทุกรุ่นที่ออกมา ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแนะนำให้ใส่เคสไว้ดีกว่าเพื่อความปลอดภัย (เครื่องนึงอย่างต่ำๆ 33,000 บาท ใส่เคสให้อุ่นใจดีกว่า)
*** สามารถดูการ drop test iPhone 11 Pro โดย cnet จากคลิป https://youtu.be/Skq7bBr1brE ซึ่งได้ทำการ drop test หลายครั้งที่ความสูงต่างๆซึ่งผลจากการทดสอบตัวเครื่องไม่ได้รับความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วน iPhone SE 2020 ไม่ได้ทำการทดสอบความทนทานแต่คาดว่าน่าจะคล้ายกับ iPhone 8 เพราะใช้การออกแบบแบบเดียวกัน (ผลการทดสอบ iPhone 8 หน้าจอแตกเมื่อหล่นจากที่สูง 1.5 เมตร)
จากข้อมูลของ Apple โทรศัพท์ทั้งสองรุ่นยังสามารถกันน้ำได้อีกด้วย โดยมีระดับความลึกที่แตกต่างกันดังนี้
- iPhone SE 2020
: IP67 สามารถกันน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 1 เมตร นาน 30 นาที
- iPhone 11 Pro
: IP68 สามารถกันน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 4 เมตร นาน 30 นาที
ทดสอบการกันน้ำ โดย cnet
แต่จากการทดสอบจริงกับ iPhone 11 Pro โดย cnet พบว่าตัวเครื่องสามารถที่จะกันน้ำได้ที่ระดับความลึกมากกว่าที่ Apple อ้างไว้ ดังนั้นคาดว่า iPhone SE 2020 นั้นก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน
*** แต่ๆๆๆๆๆ ความเสียหายที่เกิดจากน้ำ ไม่อยู่ภายใต้การรับประกันสำหรับโทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่น ดังนั้นอย่าคิดที่จะลองทดสอบโทรศัพท์ของเราเองนะครับ (ดูการทดสอบจากคลิปแทนดีกว่า)
*** สามารถดูการ water test iPhone 11 Pro โดย cnet จากคลิป https://youtu.be/5C8LhFke3XY
iPhone 11 Pro หรูหราด้วยหน้าจอ OLED
iPhone SE 2020 ใช้จอแสดงผลแบบ “LCD liquid retina” ในขณะที่ iPhone 11 Pro ใช้หน้าจอ แสดงผลด้วย “OLED Super Retina XDR” ด้วยอัตราส่วน contrast ratio 2,000,000: ดังนั้นแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าหน้าจอของ iPhone 11 Pro นั้นชนะไปแบบใสๆในยกนี้ (เทคโนโลยี OLED สามารถแสดงผลสีดำได้สมจริงกว่า LCD ใน iPhone SE)
รูปจอแสดงผล iPhone 11 pro จาก www.theguardian.com
Touch ID vs Face ID
iPhone SE 2020 – ปลดล็อคเครื่องโดยใช้ Touch ID เช่นเดียวกับ iPhone 8
iPhone 11 pro – ปลดล็อคเครื่องโดยใช้ Face ID
หลังจากได้ทดลองกับตัวเองและจากการสอบถามคนอื่นๆ พบว่าระบบ Face ID ของ iPhone 11 pro นั้นค่อนข้างใช้งานยุ่งยากพมสมควร (ถึงแม้จะตอบสนองได้ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป) ยิ่งตอนที่เพิ่งตื่นนอนในตอนเช้าต้องใช้ความพยายามกันสักหน่อยกว่าระบบจะจำหน้าเราได้ (555+) และแน่นอนว่าไม่สามารถใช้ระบบ Face ID ได้ในตอนที่สวมแมส
Face ID - iPhone 11 pro
Touch ID - iPhone SE 2020
ในขณะที่ระบบ Touch ID ของ iPhone SE 2020 มีการตอบสนองที่ดีกว่า แต่ก็มีข้อเสียคือ ต้องสละพื้นที่หน้าจอส่วนนึงเพื่อรองรับปุ่มโฮมเมื่อเทียบกับหน้าจอที่กว้างเกือบจรดขอบของ iPhone 11 Pro
3 เลนส์ VS 1 เลนส์
iPhone 11 Pro มีกล้องหลัง 3 เลนส์สำหรับการถ่ายภาพด้วยมุมมองที่แตกต่างกันคือ เลนส์ Ultrawide , เลนส์ Wide และ เลนส์ Telephoto ซึ่งเป็นลูกเล่นที่ทำให้เราถ่ายภาพได้สนุกขึ้นโดยเฉพาะเลนส์ Ultrawide และ เลนส์ Telephoto ในขณะที่ iPhone SE 2020 มีกล้องหลังสำหรับเลนส์ Wide เพียงอย่างเดียว
iPhone 11 Pro
iPhone 11 Pro
iPhone SE 2020
ภาพการทดสอบ จาก www.macworld.com
โทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่นมีฟีเจอร์ Smart HDR เพื่อให้รายละเอียดของแสงและเงาดียิ่งขึ้น จากการทดสอบถึงแม้ว่า iPhone 11 Pro จะแสดงรายละเอียดในส่วนที่มืดได้ดีกว่าเมื่อถ่ายย้อนแสงหรือที่ๆมีแสงน้อย แต่ภาพที่ถ่ายในสภาพแวดล้อมปกติก็ยากที่จะบอกได้ถึงความแตกต่างในแง่ของสีและภาพโดยรวม
*** หลักการทำงานของ HDR (High Dynamic Range) บนมือถือก็ง่ายๆ ครับ คือ การที่กล้องจะถ่ายภาพ ที่มีความต่างของสภาพแสง 3 ระดับ เพื่อเก็บรายละเอียดของภาพในส่วนต่างๆ ให้ได้มากที่สุด แล้วนำมา Merge กันเป็นภาพเดียว
นอกจากนี้ iPhone 11 Pro ยังมีฟีเจอร์ Deep Fusion ซึ่งช่วยให้ภาพที่ได้มีความละเอียดและความคมชัดมากขึ้น รวมไปถึงลด Noise ในภาพให้ด้วย ระบบนี้จะทำงานอัตโนมัติเมื่อถ่ายรูปในสภาพแวดล้อมที่มีแสงปานกลาง (คิดว่าน่าจะหมายถึงถ่ายรูปในที่ร่ม)
รูปข้างล่างแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของความละเอียดระหว่างภาพที่ถ่ายด้วย iPhone 11 Pro ที่มีฟีเจอร์ Deep Fusion กับ iPhone SE 2020 (ทดสอบโดย cnet)
ภาพทดสอบฟีเจอร์ Deep Fusion โดย www.cnet.com
นอกจากนี้ iPhone 11 Pro ยังมีฟีเจอร์การสร้าง Animoji และ Memoji ที่เลียนแบบการแสดงออกทางใบหน้าของเราให้ได้เล่นกันสนุกๆอีกด้วย รวมถึงการบันทึกวิดีโอระดับ 4K
ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่าง iPhone 11 Pro กับ iPhone SE 2020 นี้อยู่ที่ Night mode ซึ่งมีแค่เฉพาะใน iPhone 11 Pro โดยโหมดนี้ช่วยให้ภาพสว่างและชัดใสยิ่งขึ้นเมื่อต้องถ่ายในสภาพแวดล้อมที่แสงน้อย (โหมดนี้ทำงานเองอัตโนมัติ)
ภาพการทดสอบ จาก www.macworld.com
แรงทั้งคู่ด้วย ชิปเซ็ทระดับท๊อป A13 Bionic
 
ทั้ง iPhone SE 2020 และ iPhone 11 pro นั้นใช้ ชิปเซ็ท A13 Bionic ซึ่งเป็นชิพที่มีประสิทธิภาพที่เหนือชั้นและเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน
เมื่อทดลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพโทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบบน Geekbench หรือ การทดสอบจริงจากการ ดาวน์โหลด apps, Trimming ความละเอียดแบบ 4K ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบของ iPhone SE 2020 เลยก็ว่าได้
ชิปเซ็ท A13 Bionic
Battery
ถึงแม้ Apple จะไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดของแบตเตอรี่อย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน ๆ แต่เราก็พอจะเดาได้ว่า iPhone SE 2020 คงจะใช้แบตเตอรี่ที่คล้ายคลึงกับ iPhone 8 ในขณะที่แบตเตอรี่ของ iPhone 11 Pro มีขนาดความจุ 3,046 mAh (iPhone 11 Pro Max 3,969mAh) *** ข้อมูลไม่เป็นทางการ เปิดเผยข้อมูลโดย third-party
จากการทดสอบจริง
ด้วยการชาร์จเพียงแค่ครั้งเดียว
- iPhone 11 Pro สามารถใช้ดูหนัง เล่นเกมส์ได้ต่อเนื่องประมาณ 7 ชั่วโมง (แต่ถ้าใช้งานปกติก็อยู่ได้ทั้งวัน)
- iPhone SE 2020 สามารถใช้ดูหนัง เล่นเกมส์ได้ต่อเนื่องประมาณได้ประมาณ 4 ชั่วโมง
*** สามารถดูการทดสอบ battery test ได้จากคลิป https://youtu.be/KRrsIp1kNtc
การทดสอบ battery test จาก คลิป https://youtu.be/KRrsIp1kNtc
การทดสอบ battery test จาก คลิป https://youtu.be/KRrsIp1kNtc
โทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่นนี้ รองรับการชาร์จแบบ wireless charging และ fast charging แต่มีเพียง iPhone 11 Pro เท่านั้นที่มาพร้อมกับเครื่องชาร์จ 18-watt fast charger ในกล่อง
18-watt fast charger
สรุป
iPhone SE 2020 – เปรียบเหมือน iPhone 11 pro ในร่าง iPhone 8
ถึงแม้ภายนอกของ iPhone SE อาจจะดูเหมือน iPhone รุ่นเก่า แต่อย่าเข้าใจผิดไปละ เพราะชิปเซ็ทที่ใช้คือ A13 Bionic ซึ่งเป็นชิประดับเรือธงตัวเดียวกันที่พบใน iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ทำให้สามารถอัปเดทซอฟต์แวร์หรือ iOS ได้อีกยาว อาจได้มากกว่า iOS 17 อีกทั้งประสิทธิภาพของกล้องและหน้าจอ (ถึงแม้จะไม่เทียบเท่ารุ่น Top) ที่ให้มากับตัวเครื่องก็อยู่ในระดับที่คุ้มกับราคา 14,900 บาท จะมีก็แค่ในส่วนแบตเตอรี่ที่ไม่สามารถใช้งานทั้งวันและไม่รองรับ 5 G ได้เหมือน iPhone 11 pro ซึ่งถือว่า Apple ทำการตลาดได้อย่างชาญฉลาดเลยทีเดียว
อันที่จริงจากการทดลองใช้ทั้ง iPhone SE 2020 และ iPhone 11 pro ในช่วงสอง-สามสัปดาห์ ก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างสักเท่าไหร่สำหรับ 2 รุ่นนี้ (แต่สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการรุ่น Top และมีงบประมาณที่ตั้งไว้อยู่แล้ว จะเมิน iPhone SE 2020 ก็ไม่ว่ากัน คริคริ)
- iPhone SE 2020 ออกแบบให้มีขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว จึงง่ายต่อการใช้งานด้วยมือเดียว
- iPhone SE 2020 ใช้จอแสดงผลแบบ LCD
- iPhone SE 2020 ใช้ระบบ Touch ID ในการปลดล็อคเครื่อง
- iPhone SE 2020 ไม่มี Night mode แต่มี Portrait Mode, ฟีเจอร์ Smart HDR, และมีแค่เลนส์ Wide
- iPhone SE 2020 แบตเตอรี่ใช้งานได้เหมือนๆ iPhone 8
iPhone 11 Pro - กล้องก็โปร จอภาพก็โปร ประสิทธิภาพก็โปร
ด้วยเคสสเตนเลสที่ดูทันสมัยและหรูหรา แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้อย่างยาวนาน เรียกได้ว่าเป็น iPhone ที่ดูแข็งแรง ทนทานที่สุดตั้งแต่เคยมีมา พร้อมด้วยหน้าจอ OLED ที่มีความละเอียดสูงและกล้องหลังสามตัวที่ใช้ได้ 3 เลนส์ตั้งแต่ เลนส์ Ultrawide , เลนส์ Wide และ เลนส์ Telephoto นอกจากนี้ยังมีตัวเลือก iPhone 11 Pro Max ที่มีขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้ว ( iPhone 11 Pro 5.8 นิ้ว) สำหรับคนที่ชอบหน้าจอใหญ่ๆอีกด้วย สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลของ iPhone 11 Pro สูงสุดที่ 512 GB (iPhone SE 2020 สูงสุดที่ 256 GB)
- iPhone 11 pro มีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว (iPhone 11 Pro Max 6.5 นิ้ว) เอาใจสายดูหนัง ดูคลิป
- iPhone 11 pro ใช้จอแสดงผลแบบ OLED
- iPhone 11 pro ระบบ Face ID ในการปลดล็อคเครื่อง
- iPhone 11 pro มี Night mode, Portrait Mode , มี 3 เลนส์ คือ เลนส์ Ultrawide , เลนส์ Wide และ เลนส์ Telephoto, มีฟีเจอร์ Deep Fusion, Smart HDR, Animoji และ Memoji
- iPhone 11 pro แบตเตอรี่ใช้งานปกติได้ทั้งวันด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว
Note : สามารถเช็คราคาและโปรโมชั่น + ของแถม ตามลิงค์นี้ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :
โฆษณา