29 พ.ค. 2020 เวลา 07:35 • การศึกษา
การแพทย์สายพุทธ.ตอนที่ ๑๕ ธาตุยามปกติ
ก่อนรู้เรื่องป่วย ย่อมต้องรู้หน้าที่ยามปกติเสียก่อน แล้วธาตุยามปกติทำอะไร มาดูกัน
ตั้งแต่สมัยล้านปีก่อนถึงปัจจุบัน ชีวิตเราเกิดมาเพื่อ กิน ทำงานไม่ว่างานนั้นๆเป็นอะไร เช่น ทำนา ทำสวน ทำไร่ ล่าสัตว์ งานออฟฟิต งานบริหาร แท้แล้ว เพื่อแลกมากับการหากินให้ได้ซึ่งอาหารมาเลี้ยงกาย จากนั้นก็ขับถ่าย พักผ่อนนอนหลับ ผ่านมาสักหน่อยมนุษย์เริ่มสังเกตุว่าวิถีต่างๆตามธรรมชาติสามารถเพาะปลูกเองได้ไม่ต้องไปเอามาบ่อยๆ หรือรอให้ช่วงฤดู ดังนั้นความรู้เรื่อง เกษตร ดวงดาว ก็เข้ามา
การอยู่ร่วมกับคนหมู่มากเพื่อช่วยกันระวังภัยจากสัตว์และผู้รุกรานก็เริ่มมีสังคม มีการแบ่งหน้าที่ มีผู้ปกครอง มีการศึกษาเรียนรู้สังคม จนมาเป็นปัจจุบันที่ชีวิตกินอยู่สบาย ที่เหลือก็ดิ้นรนทำงานกันให้มากเพื่อแลกกับสิ่งที่นำมาซึ่งความสุขแบบทางโลกที่เราเรียกว่าเงิน จนเราอาจหลงลืมไปว่า แท้แล้วชีวิตคืออะไร
ชีวิตคือขันธ์ ๕ นั่นเอง ใครเรียนแผนโบราณเรื่อง สมุฏฐานวินิจฉัย กล่าวไว้ในผูกสรรพคุณว่า อันกายเรานี้เป็นที่ตั้งแห่งสมุฏฐาน สมุฏฐานเป็นที่ตั้งแห่งธาตุ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งกองโรค โรคเป็นที่ตั้งแห่งอาหาร ตรงนี้สำคัญนะเพราะจะไปโยงฤดู ๓ เป็นที่ตั้งแห่งกองโรค ฤดู๖ เป็นที่ตั้งแห่งกองไข้ ฤดู๔ เป็นที่ตั้งแห่งกองธาตุ ในสมุฏฐานวินิจฉัยทั้ง ๒ ผูก
1
ขยายความว่า
ขันธ์ ๕ คือเรา ไม่มีขันธ์๕ ไม่มีเรา แบ่งออกเป็นหมวดคือ
- หมวดกาย มีรูปเป็นที่ตั้งด้วยธาตุทั้ง๔ มีรูปที่ซ้อนด้านในเรียกอุปทายรูป(อาศัย) มี ๒๔ เป็นตัวการทำหน้าที่ให้ระบบธาตุ ๔ สมบูรณ์ เรื่องนี้กล่าวไปแล้วในจิตนิยามไปอ่านย้อนหลังได้นะคะ รูปอาศัยนี้ทางอายุรเวท และการแพทย์ทิเบตมักกล่าวไปในทางตรีธาตุ
- หมวดใจ ธรรมชาติเรามีจิตปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ มีจิตไว้สั่งกาย ดังนั้นตัวรู้ในจิตจึงมี ๔ กอง(หมวด) คือ
- กองเวทนาขันธ์๓ ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ไม่สุข(กาย-ใจ มีดีใจ เสียใจ เฉยๆ)
- กองสัญญาขันธ์๖ จำได้หมายรู้ทาง จักขุ โสต ฆานะ ชิวหา กาย และมโน
- กองสังขารขันธ์ เป็นคุณสมบัติของจิตปรุงแต่ง มี จิต เจตสิก ,ดี-ชั่ว,อกุศล,โสภณเจตสิก
- กองวิญญาณขันธ์ ความรู้แจ้งทางอารมณ์จากประสาททั้ง๕
ก็กล่าวไปแล้วเช่นกัน ถ้าขยายมากแบบธาตุวินิจฉัยเราก็ต้องเรียน จิตและเจตสิกกันต่อไป ในส่วนนี้ไม่ขอเล่าเพราะยากเกินไปค่ะ
เมื่อตั้งขึ้นแล้ว เราก็ขึ้นกับการเลี้ยงดูลักษณะนิสัย เรียก
- จริต ๖ ซึ่งในแผนโบราณท่านก็ให้ดูที่น้ำเลี้ยงหัวใจด้วยมี ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต สัทธาจริต พุทธจริต และวิตกจริต จริตเหล่านี้จะกลายเป็นนิสัยเราต่อไป
- เมื่อละไม่ได้ก็เกิดทิฏฐิ(เจตสิก) ๕๒ อย่างที่เราอาจไม่รู้ตัวเองเลย
- เมื่อสิ่งที่เราชอบและชังจะเกิดเป็นอคติ ๔ มีสอนไว้ในข้อเตือนใจหมอเมื่อเริ่มรักษาคนไข้ มี๑.ลำเอียง เพราะรักใคร่กัน เรียกฉันทาคติ ๒. ลำเอียง เพราะไม่ชอบกัน เรียกโทสาคติ ๓. ลำเอียง เพราะเขลา เรียกโมหาคติ ๔. ลำเอียง เพราะกลัว เรียกภยาคติ
- สิ่งที่กล่าวสรุปทางจิตมาเป็นมูลเหตุแห่งอกุศลด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ถ้าเชื่อมกายในอุปทายรููปก็เป็นขบวนการตรีธาตุ คือ ปิตตะ วาตะ เสมหะ นั้นเอง(เป็นเรื่องจิตป่วยกายป่วย)
และต่อไปในแผนโบราณจะเรียกตัวรู้นี้ว่า อภิญญาณธาตุ
เมื่อเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว มาเรียนลักษณะธาตุที่เป็นปรมัตตามหลักความจริงในเรื่องมองสภาวะธาตุเท่านั้น
- ธาตุดิน เข้นแข็ง แผ่ขยาย ดังนั้นที่เราเป็นรูปเป็นร่างกาย เติบโต ได้ก็เพราะมีดินมาก่อเป็นเรานั้นเอง
- ธาตุน้ำเกาะกุม เอิบอาบ เนื่องจากน้ำเป็นตัวเกาะดินไว้ไม่ให้แยกกระจาย ทำให้เป็นก้อนเป็นชิ้นนั่นเอง
- ธาตุลม ที่เคลื่อนไหว แลครัดเคร่ง ลมในกายมีไว้ให้ระบบขับเคลื่อนไปได้เราจึงไหวกาย ไหววาจา เดิน ขยับกาย หรือหยุดนิ่งเพื่อพัก
- ธาตุไฟ เร้าร้อน ไฟที่ร้อนจะส่งผลกับกายในเรื่องความอบอุ่น การกินย่อย ความคิด ไฟมีส่วนจิตเข้ามาในเรื่องอารมณ์
ในเรื่องกฏแห่งธรรมชาตินี้มีฝ่ายเอื้อกันเรียกคู่ธาตุ และหักล้างกันเรียกอริธาตุ สมดุลจะดีเมื่อทั้ง๔ นี้ทำงานร่วมกัน ถ้าธาตุใดทำงานไม่ได้ก็จะเกิดสภาวะเสียสมดุลในธาตุ เรื่องธาตุทั้ง ๔ พอแค่นี้ตอนต่อไป ขยายธาตุเป็นมหาภูตรูป ๔๒ กองมี ดิน๒๐ น้ำ๑๒ ลม๖ ไฟ๔ ติดตามค่ะ..
โฆษณา