29 พ.ค. 2020 เวลา 08:02 • บันเทิง
รัสเซียทดลองให้คนอดนอน การทดลองนอกรีต ตอนที่ 1
ย้อนกลับไปในปี 1940 กลุ่มนักวิจัยชาวรัสเซีย ได้ทำการทดลองที่เรียกว่า Sleep Experiment หรือ "การทดลองอดนอน" โดยใช้เหยื่อในการทดลองในครั้งนี้เป็นจำนวน 5 ราย โดยมีเป้าหมายของการทดลอง คือการทำให้ผู้เข้าทำการทดลองอดนอนเป็นเวลา 30 วันโดยใช้แก๊สบางอย่างเป็นตัวกระตุ้น โดยเหยี่อทั้ง 5 คนนั้น ได้ถูกกักบริเวณในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง และมีการเฝ้าดูแลอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พวกเขามีอาการขาดอ๊อกซิเจนจนเสียชีวิตจากแก๊สที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการทดลอง
และด้วยสมัยนั้นยังไม่มีกล้องวงจรปิด เหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้ดูแลการทดลองจึงได้ติดตั้งไมค์โครโฟนไว้จำนวนหนึ่งในห้องที่ใช้คุมขังผู้ทดลองแทน และในห้องที่ติดกับห้องคุมขัง ก็มีห้องสังเกตุการณ์ที่กระจกแบบมองด้านเดียวหนา 5 นิ้วกั้นอยู่ระหว่างห้องขังและห้องสังเกตุการณ์
ภายในห้องที่ใช้คุมขัง นักวิทยาศาสตร์ได้เตรียมทุกอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิตในระยะเวลา 30 วัน ของคนทั้ง 5 คน ไว้อย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ อาหาร ห้องน้ำ หนังสือสำหรับอ่าน แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีในห้องนั้น นั่นคือ "เตียงนอน" แน่นอนว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองในครั้งนี้ต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดา เพราะเหล่าผู้ทดลองที่นักวิจัยชาวรัสเซียเลือกเข้ามา ล้วนแต่เป็นนักโทษการเมืองฝั่งฝ่ายศัตรูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเอง โดยผู้เข้าร่วมทำการทดลองจะได้รับทำมั่นสัญญา ว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวในทันที หลังจากที่พวกเขาเข้ารับการทดลองนี้จนครบ 30 วัน
โดยทดลองเป็นไปอย่างราบรื่นในช่วง 5 วันแรก โดยการบันทึกเรื่องราวของการทดลองในช่วงนี้ ระบุไว้ว่า ผู้เข้าทดลองได้เริ่มแลกเปลี่ยนถึงเรื่องราวอันน่าสลดใจในอดีตของแต่ละคนตลอดเวลา และน้ำเสียงในการสนทนาของทุกคนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มหม่นหมองลงไปเรื่อย ๆ ในช่วงระยะเวลา 4 วันแรก
เข้าสู่ช่วงวันที่ 6 ผู้เข้าทดลองเริ่มจะบ่นถึงสภาวะต่าง ๆ รอบตัว และบ่นถึงเรื่องราวที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ในที่แห่งนี้ และเริ่มจะแสดงอาการหวาดระแวงอย่างรุนแรงให้เห็น และในที่สุดพวกเขาก็เลิกคุยกัน และหันมาบ่นพรึมพรำใส่ไมค์โครโฟนแทน บางคนก็เริ่มเดินไปที่พูดคุยกับเงาของตัวเองที่อยู่ภายในกระจกสังเกตุการณ์ และที่แปลกที่สุด พวกเขาเริ่มที่จะคิดว่า พวกเขาจะสามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้ ด้วยวิธีการหักหลังผู้เข้าทดลองคนอื่น ๆ ซะอย่างนั้น
ในตอนแรก นักวิจัยเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คงเป็นผลมาจากฤทธิ์ของแก๊สที่พวกเขาปล่อยเข้าไปเพื่อจะทำให้ผู้ทดลองไม่มีอาการง่วงนอนก็เป็นได้
หลังจากผ่านไป 9 ผู้เข้าทดลองบางคนก็เริ่มกรีดร้องขึ้นมา เขาเริ่มวิ่งไปทั่วห้องพร้อมกับตะโกนออกมาสุดเสียง จนเวลาผ่านไปนานกว่า 3 ชั่วโมง เขาก็ยังคงกรีดร้องอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้มีเพียงเสียงเหลียมเล็กที่ผ่านออกมาจากปากของเขาเพียงเท่านั้น ทีมสังเกตุการณ์เชื่อว่า ตอนนี้กล่องเสียงของเขาคงจะพังไปแล้ว ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ปฏิกิริยา ของเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ที่ดูเหมือนว่า พวกเขาไม่ได้สนใจหรือใส่ใจกับการการทำของเข้าทดลองที่กรีดร้องนี้เลยสักคนเดียว
แล้วจู่ ๆ หลังจากผ่านไปนานกว่า 5 ชั่วโมงหลังจากที่ชายคนแรกเริ่มกรีดร้อง ชายคนที่สองก็เริ่มกรีดร้องออกมาบ้าง แต่คนที่เหลือกลับเดินไปหยิบหนังสือออกมาคนละเล่ม แล้วทำการฉีกหน้าหนังสือออกมาทีละหน้า ๆ นำมันมาเช็ดกับกองอุจาระ แล้วนำมาแปะไว้ที่หน้ากระจกสังเกตุการณ์ สักพักเสียงกรีดร้องก็หยุดลง เหลือเพียงเสียงพรึมพรำ ที่ดังออกมาผ่านลำโพงแทน
2
ในวันที่ 11 ทีมนักวิจัยได้ทำการตรวจสอบการทำงานของไมค์โครโฟนทุกชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่ามันยังคงใช้งานได้ เพราะตลอดระยะเวลาหลังจากวันที่ 9 นั้น ทีมวิจัยไม่ได้ยินเสียงใด ๆ จากผู้เข้าทดลองเลยแม้แต่คนเดียว แต่ปริมาณการใช้อ๊อกซิเจนใจห้องนั้น กลับบอกว่าทั้ง 5 คนยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วปริมาณการใช้อ๊อกซิเจนในห้องของทั้ง 5 คนในตอนนี้ มันอยู่ในระดับสูง ราวกับว่าทุกคนกำลังออกกำลังกายกันอย่างหนัก
จนรุ่งเช้าของวันที่ 14 มาถึง ทีมวิจัยได้พยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบจากในห้องออกมาบ้าง โดยการใช้งานอินเตอร์คอมสื่อสารเข้าไปในห้อง โดยหวังว่าพวกเขาจะได้รับการตอบสนองอะไรสักนิดจากเหล่าผู้เข้าทดลอง ที่ยืนยันว่าผู้ที่อยู่ในห้องทดลองนั้น ยังไม่ได้เสียชีวิต หรือสลบกันไปหมดแล้ว
โดยนักวิจัยประกาศเข้าไปว่า "พวกเราจะทำการเปิดประตูเข้าไปในห้อง เพื่อตรวจสอบการทำงานของไมค์โครโฟน จงถอยห่างออกจากประตู แล้วหมอบราบลงไปกับพื้น มิฉะนั้นพวกคุณจะถูกยิง ส่วนคนที่ทำตามคำสั่ง จะได้รับอิสระอย่างแน่นอน" แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจกับเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่ง ที่ตอบกลับออกมาผ่านไมค์โครโฟน "พวกเราไม่ต้องการอิสระแล้วละ"
ตอนนี้ทีมวิจัยกับทางกองทัพต้องเริ่มถกเถียงกัน นั้นก็เพราะตอนนี้ พวกเขาไม่สามารถที่จะทำการตรวจสอบใด ๆ ภายในห้องนั้นได้อีกต่อไปแล้ว จนในที่สุดพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะเปิดประตูของห้องทดลองในกลางดึกของคืนวันที่ 15 ไปเลยดีกว่า เมื่อถึงเวลา ระหว่างที่ห้องกำลังระบายแก๊สกระตุ้นประสาทออก และแทนที่ด้วยอากาศบริสุทธิ์อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงจากไมค์โครโฟนจากห้องดังขึ้น โดยมีเสียงของคน 3 คน ที่พูดร้องขอราวกับว่ากำลังขอความรัก บอกให้พ้นแก๊สนั้นกลับมา แต่ทว่าในที่สุด ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เหล่าทหารก็ถูกส่งเข้าไปเพื่อเข้าไปตรวจสอบผู้เข้าทดลองด้านใน
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรี๊ดร้องที่ดังกว่าทุกครั้งขึ้นมา และสิ่งที่เหล่าทหารได้เห็นภายในห้องนั้นก็คือ 4 ใน 5 ของผู้เข้าร่วมทดลองนั้นยังไม่ตาย แต่ทว่ามันกลับไม่มีใครเลยสักคน ที่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่ายังคงมีชีวิตอยู่ได้เลย อาหารตั้งแต่วันที่ 5 นั้น แถบจะไม่พร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย มีก้อนชิ้นเนื้อจากบริเวณต้นขาและหน้าอกของผู้เสียชีวิตอุดตันอยู่ตรงปากท่อระบายน้ำกลางห้อง จนทำให้มีน้ำท่วมถึงอยู่ในห้องถึง 4 นิ้ว ซึ่งปากคำของทหารที่เขาไปในรายหนึ่งได้พูดว่า "เขาแทบไม่รู้เลยว่า จริง ๆ แล้ว ระหว่างน้ำละเลือด อันไหนมีมากกว่ากัน"
ผู้รอดชีวิตที่เหลืออีก 4 คนนั้น ทั้งกล้ามเนื้อ ทั้งผิวหนัง ต่างถูกฉีกออกมาจากร่างกายของพวกเขาเอง และตรงบริเวณผิวหนังที่เปิดออกจนเห็นกระดูกที่ปลายนิ้วนั้น ได้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า บาดแผลทั่วลำตัวของพวกเขานั้น ล้วนก็ขึ้นการการใช้มือ ไม่ได้ใช้ฟันกัดอย่างที่นักวิจัยคาดไว้ในตอนแรก และจาการตรวจสอบมุมและรอยของบาดแผลแล้ว ก็ยืนยันได้ว่าบาดแผลเหล่านั้น ล้วนเกิดจากการที่พวกเขาทำร้ายตัวเองทั้งสิ้น
สภาพล่างกายนับตั้งแต่ชายโครงลงไปเสียหายอย่างหนัก ผิวหนังที่ปกคลุมบริเวณหน้าท้องเปิดออกจนเห็นอวัยวะภายในได้ แต่ที่น่าประหลาดใจ คืออวัยวะภายในพวกนั้นยังคงทำงานได้ และพวกทดลองที่เหลือยังคงหายใจอยู่ได้ปกติอยู่ และระบบย่อยอาหารของพวกเขาก็ยังคงทำได้ เพราะทีมวิจัย สังเกตุได้ว่า ภายในกระเพาะของพวกนั้น กำลังทำการย่อยชิ้นเนื้อของตัวเอง ที่พวกเขาฉีกออกมากิน
เหล่าทหารรัสเซียหายนายเริ่มปฏิเสธที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อ เพราะความสยดสยองที่อยู่ตรงหน้า ราวกับว่าตอนนี้ พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้าอยู่กับมนุษย์ แต่เป็นอสูรกายจากโลกอื่นที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา ราวราวจะเป็นอย่างไร ไปกดอ่านได้ในตอนที่ 2 เลยครับผม
อ่านมาถึงตรงนี้ คุณก็จะมองเห็นปุ่มไลด์ อยู่ใกล้ๆ กับมุมซ้ายของจอด้านล่างแล้วนะครับ หากถูกใจ อย่าลืมกดไลค์ กดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจให้เราทำบทความดี ๆ กันต่อไปด้วยนะครับ
1
ขอบคุณ แหล่งข้อมูล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา