29 พ.ค. 2020 เวลา 10:54 • ท่องเที่ยว
รุ่งสางแห่งการผจญภัย ประเดิมปั่นไปสมุทรปราการ
ปั่นจักรยานทั่วไทย : จังหวัดที่ 1 สมุทรปราการ
นาฬิกาปลุกเสียงฝนโปรยปรายตอนรุ่งสางปลุกผมให้ตื่นขึ้น
มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นกลุ่มเมฆเทาดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า ทว่าความแรงของสายฝนก็ไม่มากมายนัก ในใจก็หวังว่าฟ้าจะช่วยหยุดฝนให้ในไม่ช้า แต่ต่อให้ฟ้าจะไม่เป็นใจให้กัน ยังไงก็หยุดการเดินทางของผมไม่ได้หรอก เตรียมพร้อมมาขนาดนี้แล้ว จะไม่ไปแค่เพียงเพราะฝนตกเบาๆ ได้ยังไงกัน ผมนำสัมภาระทั้งหมดที่เมื่อคืนยัดทุกอย่างลงกระเป๋าไปแบบรีบๆ ไปวางที่ข้างรถ และทำการเซ็ตอัพจริงๆ เป็นครั้งแรก ได้แต่คิดไว้ว่าจะวางจะผูกไปยังไงแต่ไม่เคยลองมาก่อน ผลที่ออกมาก็คือ สายรัดของราคาเส้นละ 10 บาททั้งสองเส้นทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี และในที่สุดสายฝนก็ยอมจากไป แสงทองของดวงอาทิตย์ยามเช้าส่องทะลุเมฆลงมาให้เห็น เมื่อรถพร้อม ฟ้าพร้อม คนพร้อม ก็ได้เวลาออกไปผจญภัยกันซะที
ผมบอกที่บ้านไปว่าไปแค่ปีเดียวเอง ไปเรียนยังนานกว่านี้อีก แป๊บเดียวก็ครบปีกลับมาแล้ว
ครั้งก่อนตอนที่ผมปั่นจากกรุงเทพกลับบ้านที่พิษณุโลกโดยไม่บอกใคร พอที่บ้านรู้ก็โทรมาหาและถามว่าปั่นไปทำไม เป็นความห่วงตามประสาคนเป็นพ่อแม่แหละนะครับ ก่อนที่จะออกเดินทางไกลในคราวนี้ ผมจึงบอกกันล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ อธิบายให้เข้าใจเสร็จสรรพว่าเราวางแผนไว้การเดินทางไว้แล้ว เตรียมวิธีเซฟตัวเองให้ปลอดภัยไว้ด้วย ติดต่อหากันสมัยนี้ก็โซเชียลง่ายนิดเดียว เช้าวันนี้จึงไม่มีคำคัดค้านใดๆ จากทุกคน เราร่ำลากันอย่างเรียบง่ายก่อนที่ผมจะปั่นออกมาบนถนนที่ยังคงชุ่มฉ่ำจากน้ำฝน
เริ่มต้นได้ไม่ทันไรก็งานงอกระหว่างกำลังปั่นอยู่บนทางจักรยานเลียบด่วนรามอินทรา เมื่อเปลี่ยนไปเกียร์ 1 เพื่อจะขึ้นเนินแล้วโซ่ตกร่องไปติดแหง็กกับซี่ล้อ เป็นอาการที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนตอนไปปั่นทดสอบในเยาวราชแล้ว สาเหตุน่าจะเป็นเพราะเกียร์เพี้ยนนั่นเอง ปั่นเพลินจนลืมว่าห้ามใช้เกียร์ 1 จนกว่าจะไปจูนเกียร์ใหม่ เลยต้องปลดสัมภาระออก ถอดล้อ แล้วเรียงโซ่เข้าไปใหม่ หาทำกันแต่เช้า
มีอีกหนึ่งสถานที่สุดท้ายที่ผมต้องแวะไปก่อนจะมุ่งหน้าออกจากกรุงเทพ นั่นคือ ร้านปลูกปั่น
ร้านน้ำปั่นผักผลไม้ที่บริการส่งด้วยจักรยานซึ่งผมทำงานมาร่วม 3 ปี การปั่นจักรยานออกไปส่งของตอนเช้าตามบ้านและตึกต่างๆ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จะเรียกว่าเป็นเคล็ดลับการซ้อมปั่นสำหรับการเดินทางทั่วไทยนี้ก็ได้ เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของการปั่นส่งและผมลืมที่โซ่ล็อคจักรยานไว้จึงต้องมาแวะที่ร้านก่อน อีกหนึ่งปีเลยที่ตัวเองจะไม่ได้กินน้ำปั่นและต้องหาผักผลไม้มากินเองตลอดการเดินทาง
วันแรกของการเดินทาง ความช่วยเหลือก็เข้ามาผมอย่างไม่ขาดสาย
ปั่นผ่านบีทีเอสอ่อนนุชไปได้นิดเดียว ก็มีมอเตอร์ไซค์ขี่มาขนาบข้างและบอกผมว่าของหล่นอยู่แถวบีทีเอส เมื่อย้อนไปดูก็มีพี่แม่ค้าพวงมาลัยยื่นซองสีน้ำเงินที่ใส่เสื้อกันฝนมาให้ ของสำคัญมากที่สุดที่จากนี้ไปผมจะต้องใช้บ่อยมากเกือบหายตั้งแต่วันแรก เป็นเพราะปากกระเป๋าล็อคไม่แน่นจึงเปิดออกระหว่างปั่น หากไม่ได้พี่ๆ เหล่านี้ช่วยเตือนไว้คงต้องเสียเวลาไปเสาะหาใหม่อีก
ผมมาถึงจุดหมายแรกของสมุทรปราการเวลาประมาณเที่ยง ณ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ แต่ก่อนจะเข้าไปชมก็คงควรต้องหาอะไรกินซะก่อน ร้านอาหารตามสั่ง "ป้าตุ๋ย" ที่อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์จึงเป็นตัวเลือก ป้าตุ๋ยถามผมว่ากำลังจะไปไหน เป็นครั้งแรกที่ถูกถาม ผมครุ่นคิดว่าควรตอบยังไงดีกับคำถามนี้ แต่สุดท้ายก็บอกไปโต้งๆ ว่ากำลังจะปั่นไปทั่วไทย เพิ่งเริ่มออกเดินทางวันแรก ป้าตุ๋ยจึงบอกว่ามื้อนี้ป้าเลี้ยงเอง ให้เป็นของขวัญวันเริ่มต้น เที่ยวจบแล้วกลับมากินร้านป้าอีกครั้งด้วยนะ ผมขอบคุณป้าตุ๋ยจากใจ และสัญญาว่าจะกลับมาร้านป้าอีกครั้ง
ข้ามจากร้านป้าตุ๋ยมาฝั่งตรงข้ามก็เป็นพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ประติมากรรมช้างสามเศียรขนาดมหึมาตั้งเด่นเป็นสง่า ผมนำบัตร Muse Pass ที่ไปซื้อไว้สำหรับเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ มาดูว่าที่นี่เข้าร่วมด้วยรึเปล่า ซึ่งไม่มีอยู่ในลิสต์ ค่าเข้าชมคนละ 200 บาท ผมตัดสินใจเข้าชม แม้จะแอบคิดเรื่องงบการเดินทางไปด้วย แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว จะไม่เข้าไปได้ยังไง ด้านในตัวอาคารช้างสามเศียรแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นสุวรรณภูมิ ชั้นโลกมนุษย์ และชั้นจักรวาล แต่ละชั้นจะจัดแสดงแตกต่างกันไป
ส่วนบริเวณรอบๆ เป็นสวนร่มรื่นที่มีรูปปั้นช้างตั้งเรียงรายให้เดินชมโดยรอบ
เป็นครั้งแรกของผมเลยที่ได้ปั่นมาเยือนสมุทรปราการแบบจริงจัง แม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพเลย หลังจากปั่นสำรวจรอบบริเวณเมือง ก็มุ่งหน้าออกไปสถานตากอากาศบางปู จุดชมวิวริมทะเลอ่าวไทย ดวงไม่ดีเอาซะเลยที่ไม่เจอนกนางนวลสักตัว นอกจากสะพานสุขตาจุดชมวิวหลักแล้ว ยังมีเส้นทางสะพานไม้ป่าชายเลนให้เดินทะลุป่าออกไปชมวิวได้ด้วย
ระหว่างที่ปั่นออกจากสถานตากอากาศบางปูมาได้สักพัก ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเข้ามาขี่ข้างๆ และถามว่ากำลังจะไปไหน หลังจากที่เคยตอบป้าตุ๋ยไปแล้ว คราวนี้ผมจึงมีคำตอบพร้อมอยู่แล้ว เมื่อคนขับได้ฟังคำตอบก็อุทานว่า "อ้อออ" แบบที่ผมรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่นานก็หายสงสัย เมื่อหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีข้อความส่งมาที่เพจเฟสบุ๊คว่า "เพิ่งเจอกันเมื่อกี้เอง" สรุปก็คือพี่เค้าเห็นจากเพจ The Way I Bike มาก่อนแล้วนั่นเอง ความโลกกลมก็คือพี่เค้าเป็นเพื่อนของเพื่อนที่ร้านปลูกปั่น ซึ่งเคยเกือบจะได้ไปเที่ยวด้วยกันมาแล้ว
เวลาของวันแรกใกล้จะหมดลง ผมมุ่งหน้าปั่นย้อนทิศเดิมไปถึงสี่แยกบางนา ที่ซึ่งผมได้รับน้ำใจอีกหนึ่งครั้ง จากพี่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์บริเวณที่ผมจอดรอไฟแดง "กำลังจะไปไหน" คำถามเดียวกับที่ถูกป้าตุ๋ยถาม วันนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว คราวนี้จึงตอบไปแบบเดียวกันโดยไม่ต้องคิดนาน พี่เค้ายื่นขนมปังให้ผมแทบจะในทันที บอกว่าเอาไว้ไปกินกลางทาง ผมรู้สึกดีใจที่ผู้คนที่ผมพบระหว่างทางแสดงออกในทางที่ดีต่อสิ่งที่ผมกำลังทำ น้ำใจเพียงเล็กน้อยก็ช่วยเป็นแรงผลักดันชั้นดี
เช้าวันที่สอง ท้องฟ้าสดใสไร้ฝนต่างจากวันแรกโดยสิ้นเชิง วันนี้ผมมีนัดที่จะไปพบกับเพื่อนคนนึงตอนบ่าย ตอนเช้าจึงกะออกไปปั่นเล่นเบาๆ เพื่อรอเวลา ที่สุดท้ายแล้วเป็นการปั่นที่ไม่เบาเอาซะเลย
จักรยานพาผมไปตามถนนบางนา - ตราด จนไปถึงถนนหมายเลข 2004 ที่เป็นแนวเชื่อมต่อระหว่างสมุทรปราการกับฉะเชิงเทรา ผมเลี้ยวเข้าไปบนถนนสายนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยัง "ตลาดคลองสวน 100 ปี" และเมื่อไปถึงสี่แยกเกาะไร่ ที่ต้องเลี้ยวซ้ายอีกนิดเดียวก็จะถึงตลาด ก็ปรากฏถนนหมายเลข 3001 ที่กำลังก่อสร้างอย่างใหญ่โต แต่เห็นว่าอีกนิดเดียวเท่านั้น เลยตัดสินใจฝ่าความขรุขระนั้นเข้าไปจนถึงตลาด กิมมิคของตลาดคลองสวนก็คือมีสะพานข้ามคลองที่ฝั่งหนึ่งคือสมุทรปราการ ส่วนอีกฝั่งเป็นฉะเชิงเทรา
เพราะตรงกับวันอาทิตย์ ผู้คนจึงมาเดินเที่ยวตลาดกันมากมาย
การกลับออกไปที่ง่ายก็คือ การย้อนกลับไปทางเดิมที่เข้ามาเมื่อเช้า แต่นโยบายอย่างหนึ่งที่ผมตั้งให้ตัวเองคือ ถ้าทำได้ก็จะไม่ย้อนเส้นทางเดิม เพื่อการสำรวจทางใหม่ให้ได้เยอะที่สุด ดังนั้นการบุกตะลุยถนนที่กำลังก่อสร้างจึงดำเนินต่อไป ฝุ่นควันคละคลุ้งไปตลอดทางที่ผ่าน มีทั้งรถยนต์และรถบรรทุกร่วมทางไปด้วยกัน โชคดีที่ทุกคันที่เจอเผื่อแผ่ทางให้คันเล็กอย่างผมโดยตลอด แต่ถ้าช่วงไหนหลบได้ก็จะรีบให้เหล่ารถใหญ่แซงหน้าไปก่อน ในใจคิดว่าคงก่อสร้างนิดเดียวมั้ง ปรากฏว่าสร้างกันยาวทั้งเส้น จนมาถึงสี่แยกวัดเปร็งก็ได้ออกจากเส้นทางสายโหด ปั่นต่อไปบนถนนรัตนโกสินทร์ 200 ปี ทะลุกลับออกไปยังถนนบางนา - ตราดเพื่อมุ่งหน้าไปหาเพื่อนที่กำลังรออยู่
"ฐา" นั่งรออยู่ที่โต๊ะหินอ่อนบริเวณโรงเรียนใกล้บ้าน เป็นครั้งแรกที่เราเพิ่งได้พบกันจริงๆ ก่อนหน้านั้นเรารู้จักกันโดยบังเอิญจากการเล่นเกมออนไลน์เกมเดียวกัน ซึ่งในเวลาต่อมาเกมนั้นได้ปิดตัวลง ด้วยความชอบบางอย่างในเกมที่คล้ายๆ กัน ทำให้เรายังคงติดต่อกันบ้าง และเมื่อฐารู้เรื่องแผนการเดินทางในครั้งนี้ของผม จึงชวนให้แวะมาเยี่ยมชมบ้านเธอที่สมุทราปราการ ได้นั่งพักเหนื่อยจากการลุยทางคลุกฝุ่นไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง ฐาก็นำทางไปยังริมคลองและให้น้องขับเรือเพื่อไปยังทุ่งนา
บ้านฐามีพื้นที่นาอยู่หลายไร่ ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่าต้องขับเรือเพื่อไปยังแปลงนา ซึ่งมาคิดอีกทีก็ไม่แปลก เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น อยู่ไกลขนาดนั้น จะให้เดินไปได้ยังไงไหว เมื่อมีคลองทอดยาวไปถึง การใช้เรือเป็นพาหนะเดินทางไปก็เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์แล้ว ถ้าจะบอกว่าประโยชน์ของการเล่นเกมออนไลน์คือการนำพาให้ได้มายืนอยู่กลางทุ่งนาสมุทราปราการ ก็ฟังดูประหลาด แต่สำหรับผมมันก็เป็นความจริงตามที่ว่านั้น
เมื่อขอบคุณฐาและร่ำลากันแล้ว เป็นอีกวันที่ผมต้องปั่นย้อนกลับไปยังย่านปุณณวิถี เพื่อเข้าพักที่โฮสเทล UNICO เป็นคืนที่สอง ความจริงผมวางแผนเรื่องที่พักในสมุทรปราการเอาไว้ว่าจะขอพักที่บ้านของ "พี่เก๋" ที่เคยทำงานด้วยกันในอดีต พี่เก๋ก็ยินดีช่วยผม แต่จังหวะว่าวันที่ผมออกเดินทางพี่เก๋ไม่อยู่บ้านพอดี แต่ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาเรื่องที่พักใหม่ พี่เก๋ก็ทักมาบอกว่าเพื่อนของพี่เก๋อยากช่วยเรื่องที่พัก 2 คืน เพราะเชื่อว่าต่อจากนี้ผมจะต้องไปเผชิญอะไรอีกมากมาย วันแรกก็อยากให้ได้พักดีๆ ซึ่งก็ช่วยผมได้มากจริงๆ เพราะการเป็นมือใหม่ที่เพิ่งออกเดินทาง ก็คงยากที่จะไปขอกางเต็นท์สักที่ในทันที เป็นอีกหนึ่งน้ำใจที่ผมได้รับมาไม่ขาดสาย และต้องขอบคุณทั้งพี่เก๋กับเพื่อนมากจริงๆ
ย่างเข้าสู่วันที่ 3 ของการเดินทาง ผมค่อยๆ เก็บผ้าที่ซักตากไว้ที่โฮสเทล มาเช็ครถก็เจอลวดปักอยู่ที่ล้อหลัง ยังดีที่ไม่ทะลุไปถึงยางใน หลังจากกินขนมปังปิ้งที่ทางโฮสเทลจัดไว้ให้เรียบร้อย ก็มุ่งหน้าออกไปยังอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮต์ไลท์ของสมุทรปราการ "บางกะเจ้า"
เป็นครั้งแรกที่ได้เอาจักรยานลงเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่วัดบางนานอก ได้ทั้งจักรยานและมอเตอร์ไซค์ จักรยานเสียค่าข้ามเพียง 7 บาทเท่านั้น ซึ่งหากไม่ใช่บริการข้ามฟากนี้ รถเล็กอย่างจักรยานต้องย้อนไปข้ามถึงแถวเจริญกรุง แล้วปั่นต่อมาอีกไกลเลยทีเดียว
ปั่นจักรยานที่บางกะเจ้า เป็นสิ่งที่ได้ยินได้เห็นผ่านสื่อมาหลายครั้ง แต่ตัวเองก็ยังไม่เคยจะได้ค้นหาว่าจริงจังว่าอยู่ตรงไหน พอได้มาวางแผนช่วงสมุทรปราการนี้ แรกสุดก็แปลกใจที่มีพื้นที่คดโค้งเกือบจะเป็นเกาะอยู่บริเวณนี้
สวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์เป็นที่ที่ใครมาบางกะเจ้าคงต้องมาเยือนทุกคน ด้วยความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ หอดูนกที่เหมือนว่าจะไม่ได้มีไว้ดูนกเป็นหลัก แต่มีไว้สำหรับถ่ายภาพมุม Top ลงมามากกว่า อย่างไรก็ดี ที่นี่ก็เหมาะที่จะมาปั่นจักรยานเที่ยวเล่นจริงๆ
บางกะเจ้ายังมีสถานที่อื่นๆ ให้ได้ไปชม เช่น พิพิธภัณฑ์ปลากัด ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครอยากจะไปชมอะไร ถนนภายในบางกะเจ้าค่อนข้างเล็กและไม่ค่อยมีไหล่ทาง ซึ่งเป็นทางที่ใช้ร่วมกันทั้งรถเล็กและรถใหญ่ แต่ด้วยการตีเส้นลงบนถนนให้รู้ว่าบริเวณนี้เป็นจุดที่ผู้คนมาปั่นจักรยานกันบ่อย ก็ช่วยให้รู้สึกปลอดภัย และสังเกตได้ว่ารถใหญ่จะใส่ใจระมัดระวังรถเล็กเป็นพิเศษ
จากบางกะเจ้า ผมปั่นออกมายังเขตตัวเมืองพระประแดง มีจุดข้ามฟากอีกจุดอยู่บริเวณท่าน้ำพระประแดง ซึ่งจะมองเห็นวิวสะพานภูมิพลจากกลางแม่น้ำเจ้าพระยาได้ระหว่างอยู่บนเรือ
แต่ผมยังคงไปต่อบนฝั่งพระประแดง ปั่นเลียบถนนแม่น้ำเจ้าพระยาไปเรื่อยๆ จนสุดทางที่ดูเหมือนจะตันไม่มีทางไปต่อ แต่พี่รปภ.โรงงานอายิโนะโมะโต๊ะชี้บอกทางลัดเล็กๆ หลังกำแพงสังกะสี ซึ่งมีแสงแตรรถดังยาวๆ เพราะรถที่กำลังใช้ทางลัดส่งสัญญาณบอกว่ามีรถอยู่ เนื่องจากทางแคบไม่สามารถสวนกันได้ ผมรอให้เสียงแตรหายไปจนหมด แล้วจึงปั่นเข้าไปในซอกทางลัดนั้น เส้นทางจะนำพามาทะลุออกที่ซอยสุขสวัสดิ์ 43
ลมพัดสวนทางมาอย่างแรง ผมยอมรับชะตากรรมออกแรงสวนลมไปเรื่อยๆ จนถึงสามแยกพระสมุทรเจดีย์ที่ทำให้ได้เลี้ยวหลบลมไป และนี่ก็เป็นสถานที่จุดสุดท้ายของการเดินทางในวันนี้ "องค์พระสมุทรเจดีย์" ซึ่งอันที่จริงยังมีสถานที่อย่างป้อมพระจุล และวัดขุนสมุทรจีน แต่คงต้องเก็บลิสต์ไว้โปรแกรมปั่นใกล้กรุงครั้งหน้าแล้ว
ณ องค์พระสมุทรเจดีย์มีท่าเรือข้ามฟากให้บริการเช่นกัน ปัญหาก็คือเรือไม่ได้เป็นแบบที่เข็นรถลงได้ แต่หากไม่ขึ้นเรือข้ามที่นี่ก็ต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าจะย้อนไปถึงท่าน้ำพระประแดง จึงตัดสินใจยกรถจักรยานขึ้นเรืออย่างทุลักทุเล เพราะกลัวว่าถ้าปลดสัมภาระลงจะเสียเวลาคนอื่น จึงยกรถลงไปทั้งคันอย่างนั้น เล่นเอาหอบกันเลยทีเดียว ปัญหาอีกทีก็คือตอนขึ้นล่ะ โชคดีที่พี่ๆ คนอื่นมาช่วยจับช่วยดึงรถขึ้นไป ทำให้ไม่เป็นลมไปซะก่อน
โจทย์ในคืนที่ 3 นี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่พัก คราวนี้ถึงเวลาจริงๆ แล้วที่จะต้องลองทำตามข้อมูลที่ค้นหามา ในเมืองไทยมีสถานที่หนึ่งที่นักเดินทางรอนแรมจะสามารถไปขออาศัยชั่วคราวได้ นั่นคือ "หน่วยบริการตำรวจทางหลวง" ซึ่งในสมุทรปราการนี้ มีหน่วยหนึ่งอยู่ที่บางปู ไม่ไกลจากจุดที่ผมไปมาเมื่อวันแรกเลย ผมตัดสินใจไปติดต่อดูเพื่อให้รู้ว่าจริงๆ แล้วข้อมูลที่ค้นหามาจะเชื่อได้หรือไม่
เมื่อผมไปถึงยังหน่วยบริการฯ บางปู พี่ๆ เจ้าหน้าที่กำลังกินมื้อเย็นกันอยู่พอดี ผมเข้าไปแนะนำตัวและขออนุญาตพักแรม เกิดความเงียบขึ้นพักหนึ่ง ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะหน่วยนี้ไม่น่าจะมีคนมาใช้บริการบ่อยนัก เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ แต่เมื่ออธิบายถึงจุดประสงค์การเดินทางว่าเรากำลังจะเดินทางไปต่างจังหวัดทั่วไทย เพิ่งออกมาจากกรุงเทพ พี่ๆ จึงเข้าใจและเปิดห้องที่เตรียมไว้สำหรับประชาชนให้พัก สรุปก็คือข้อมูลที่บอกไว้ในอินเตอร์เน็ตไม่ได้หลอกลวง
ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะเดินทางอยู่ในแต่ละจังหวัดประมาณ 3-4 วัน และสำหรับตอนนี้ผมรู้สึกว่าใช้เวลาเพียงพอแล้วกับสมุทรปราการ แม้จะยังมีที่เด็ดๆ อย่างเมืองโบราณที่ยังไม่ได้ไป แต่ผมคงต้องขอเก็บไว้ และเตรียมตัวเริ่มเข้าสู่บรรยากาศที่จะแตกต่างไปในจังหวัดที่ 2...ฉะเชิงเทรา
สมุทรปราการ @1 - 3 กันยายน 2018
Routing จากกรุงเทพเข้าอ.เมืองสมุทรปราการ > อ.บางพลี > อ.บางเสาธง > อ.บางบ่อ > อ.เมืองสมุทรปราการ > อ.พระประแดง > อ.พระสมุทรเจดีย์ > อ.เมืองสมุทรปราการ > อ.บางบ่อเตรียมเข้าฉะเชิงเทรา (มันก็จะวนๆ หน่อย เพราะยังมึนๆ)
#ปั่นจักรยานทั่วไทย
#เที่ยวทั่วไทย77จังหวัด
#TheWayIBike
โฆษณา