1 มิ.ย. 2020 เวลา 10:27 • ประวัติศาสตร์
เจ้าฟ้ากุ้ง~อุปราชไร้บัลลังก์
จะว่าไปแล้วหัวเรื่องนี้จะหมายถึงแต่เพียงเจ้าฟ้ากุ้งคงไม่ถูกนัก เพราะสมัยกรุงศรีอยุธยามีอุปราชมากมายที่ไปไม่ถึงบัลลังก์ เช่นพระพันปีศรีศิลป์ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม แต่ก็ยอมรับตรงๆ ว่าชื่อนี้เท่ห์และโดนใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวของเจ้าฟ้าผู้เรืองนามในหน้าประวัติศาสตร์ไทยชนิดที่คนไทยส่วนใหญ่เคยได้ยินชื่อพระองค์ทั้งนั้น ดังนั้นจึงขอใช้ชื่อนี้ในการเล่าเสียก็แล้วกัน
เจ้าฟ้ากุ้งหรือพระนามจริงว่าเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ประสูติแต่กรมหลวงอภัยนุชิต พระพันวษาใหญ่ผู้เป็นอัครมเหสีเอก นั่นจึงไม่แปลกที่ในฐานะพระโอรสองค์โตของมเหสี ทำให้พระองค์หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระบิดา
กระนั้นก็ต้องทรงคอยระแวงเจ้าฟ้านเรนทร กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ซึ่งเป็นพระโอรสองค์โตของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ที่บวชในร่มกาสาวพัตรด้วยไม่หมายปองในราชสมบัติ หากแต่ยังเป็นที่โปรดปรานในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จนถึงรับเป็นพระโอรสบุญธรรม อีกทั้งยังอยากถวายบัลลังก์คืนให้แก่หลานรักองค์นี้. ทำให้เมื่อคราวล้มป่วย เกิดความกังวลว่าจะทรงตั้งให้เจ้าฟ้านเรนทรเป็นรัชทายาท
เจ้าฟ้ากุ้งจึงวางแผนให้พระองค์เจ้าชื่น พระองค์เจ้าเกิด 2 พระโอรสของพระองค์ไปทูลเชิญเจ้าฟ้านเรนทรมาที่ตำหนัก ขณะเดินทางมาเยี่ยมไข้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก่อนจะซุ่มทำร้าย หากแต่ท่านมีวิชาแก่กล้า ฟันได้แค่พอจีวรขาดแต่ไม่ระคายเนื้อหนัง
1
เจ้าฟ้ากุ้งรู้ว่าโทษนี้สูงนักด้วยความกลัวจึงหนีไปอยู่ในตำหนักพระมารดา ฝ่ายเจ้าฟ้านเรนทรไปเยี่ยมพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อถูกถามเหตุจีวรขาด ก็ทรงตอบว่าเจ้าฟ้ากุ้งหยอกเอา อย่าได้เอาโทษเลย หากแต่ไม่เป็นผล
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศส่งทหารไปจับที่วังไม่พบ เจอแต่พระองค์เจ้าชื่น พระองค์เจ้าเกิด 2 บุตรผู้สมรู้ร่วมคิดก็ให้จับตัวไปสำเร็จโทษ ฝ่ายเจ้าฟ้ากุ้งหนีไปขอบารมีเจ้าฟ้านเรนทรที่ตนเองคิดร้าย ก็ได้คำแนะนำให้บวชอาศัยผ้าเหลืองหนีโทษประหาร จึงจำใจทำตาม
ซึ่งหากจะปล่อยให้มหาปราชญ์งานกวีบวชไปตลอดก็น่าเสียดาย แต่ก็มีเหตุให้ได้รับอภัยโทษด้วยว่าในปี พ.ศ.2280 พระพันวษาใหญ่ประชวรใกล้สวรรคตจึงร้องขออภัยโทษให้พระโอรส
ต่อมาในปี พ.ศ.2284 เจ้าฟ้ากุ้งได้รับแต่งตั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานอุปราช ณ วังหน้า หากแต่ทรงประชวรเป็นโรคคุชราด ไม่อาจเข้าเฝ้าได้ถึง 3 ปี ระหว่างนั้นฝ่ายเจ้าสามกรม พระอนุชาที่เกิดแต่พระสนมคือ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี หวังจะแย่งบัลลังก์ ซึ่งบังเอิญได้ทราบความลับสำคัญ คือการลักลอบเป็นชู้ของเจ้าฟ้ากุ้งกับเจ้าฟ้าสังวาลย์ผู้เป็นสนมของพระบิดา จึงใช้โอกาสนี้ให้กรมหมื่นจิตรสุนทรเข้ากล่าวโทษเอาผิด
ทางเจ้าฟ้ากุ้งก็จำนนต่อหลักฐานรับสารภาพ ต้องพระราชอาญาเฆี่ยน 280 ที แยกเป็นยกละ 30 ที แต่เฆี่ยนได้ 180 ที ก็ขาดใจฑิวงคตไป ขณะที่เจ้าฟ้าสังวาลย์ชู้รักถูกเฆี่ยนเพียง 30 ทีก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจตามไป พระบรมอัฐิของเจ้าฟ้ากุ้งถูกบรรจุที่เจดีย์ในวัดไชยวัฒนารามเคียงข้างปรางค์ประธาน
แต่เรื่องราวของเจ้าฟ้านักประพันธ์ยังไม่จบแต่ตรงนั้น เพราะเรื่องราวยังดราม่าต่อมายังรุ่นลูกของพระองค์คือพระองค์เจ้าหญิงมิตรหรือหม่อมปทุมนั่นเอง
1
เรื่องคือเมื่อกรุงแตกแล้วพระเจ้าตากกู้อิสรภาพก่อตั้งกรุงธนบุรีขึ้น เพื่อความชอบธรรมในการครองบัลลังก์จึงได้นำบรรดาเจ้านายฝ่ายในหลายพระองค์มาเป็นสนม หนึ่งในนั้นคือพระองค์เจ้ามิตรพระธิดาเจ้าฟ้ากุ้งนั่นเอง
แต่เรื่องมันไม่จบลงง่ายๆ ตรงที่ยังมีลูกพี่ลูกน้องหลายคนมาเป็นสนมร่วมกัน คนสำคัญคือหม่อมเจ้าฉิมและหม่อมเจ้าอุบลนั่นเอง
หม่อมเจ้าฉิมนั้นเป็นพระราชธิดาในกรมหมื่นจิตรสุนทร หรือผู้กล่าวโทษเจ้าฟ้ากุ้งให้ต้องพระราชอาญาถึงสิ้นพระชนม์ ขณะที่หม่อมเจ้าอุบลเป็นพระธิดาในกรมหมื่นเทพพิพิธ พี่ชายกรมหมื่นจิตรสุนทร ซึ่งแม้จะอยู่ฝ่ายเจ้าฟ้ากุ้ง แต่ได้รับมอบหน้าที่เฆี่ยนพระเชษฐาจนถึงฑิวงคต
โดยนอกจากแค้นของพระบิดาแล้ว ฝ่ายหม่อมอุบลและหม่อมฉิมยังเป็นที่โปรดของพระเจ้าตากขนาดให้บรรทมแนบข้างทั้งซ้ายขวาทุกคืน จนตั้งพระครรภ์ในที่สุด
แต่กระนั้นเองทั้งสองหม่อมแม้จะได้รับการโปรดกลับไปพบรักกับมหาดเล็กหลวงที่รับมอบให้มาจัดการปัญหาหนูในวังคือ ชิดภูบาล ชาญภูเบศร์ เสมอด้วยเรื่องที่เจ้าฟ้ากุ้งเคยกระทำผิด ต่างกันตรงคราวนี้ พระองค์เจ้ามิตรผู้เป็นธิดาได้เป็นฝ่ายกล่าวโทษ และชะตากรรมของสองหม่อมปรปักษ์ ก็ต้องจบลงด้วยโทษประหารที่แสนทรมาน ว่ากันว่าถูกแล่เนื้อเอาเกลือทา แล้วเลี้ยงไว้สามวันก่อนจะตายอย่างอนาถ สุดท้ายก็โดนตัดหัวเสียบประจาร ซึ่งสร้างความโทมนัสให้พระเจ้าตากเป็นอย่างมากจนถึงกับตรัสจะตามสนมรักไป ข้าราชการและพระผู้ใหญ่ต้องช่วยกันปลอบโยน ขณะที่หม่อมเจ้ามิตรคงได้ความสะใจที่ได้ล้างแค้นให้พระบิดาสำเร็จในที่สุด
โฆษณา