2 มิ.ย. 2020 เวลา 16:51 • กีฬา
#SirAlexFerguson | การทำงานเป็นผู้จัดการทีมนั่นว่ายากแล้ว แต่การทำงานที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น มันยากมากกว่าหลายเท่า
1
ไม่เพียงแต่เรื่องของผลงานในสนาม แต่การพัฒนานักเตะในทีมให้ก้าวจาก "สตาร์" ไปสู่การเป็น "ซูเปอร์สตาร์" ยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์คุณสมบัติของการเป็นยอดผู้จัดการทีมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เหมือนกับที่ "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" ได้ทำให้เราเห็นมาโดยตลอด และคงไม่มีครั้งไหน ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญชนิดที่เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า หากไม่ใช่เฟอร์กี้ ชะตาของ 2 นักเตะซูเปอร์สตาร์ที่ผมกำลังจะเล่าถึงนี้ อาจหักเหจนไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบในทุกวันนี้ก็ได้
เรื่องมันเริ่มจาก ฟร๊องซ์ 98 ครับ...
ฟุตบอลโลกปีนั้นที่ ฝรั่งเศส มีเรื่องเล่าในตัวของมันเองมากมาย และ 1 ในเรื่องเล่าเหล่านั้นผมเชื่อว่าต้องมีเรื่องนี้รวมอยู่ด้วย
ใบแดงของเดวิด เบ็คแฮม!
"สิงโตผู้กล้า 10 ชีวิตกับเด็กโง่อีก 1 คน"
นั่นคือพาดหัวหน้าหนึ่งของสื่อแดนผู้ดี พร้อมกันนั้นยังมีจดหมายขู่ฆ่าแนบกระสุนปืนส่งมาที่บ้านของเขา, มีการเผาหุ่นกลางถนน รวมไปถึงบทวิพากษ์รุนแรงถึงตัวเขาอีกมากมายบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในอังกฤษ
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในวันที่ยังไม่ติดยศอัศวิน ได้เล่าในหนังสือ Leading ว่า ทันทีที่เห็นข่าวเขารีบโทรไปหาศิษย์รักคนนี้ทันที
"ผมรู้โดยอัตโนมัติว่า เดวิด จะต้องรู้สึกแย่มากๆ และยิ่งมารู้ภายหลังอีกว่า เดวิด ร้องไห้โฮเมื่อเห็นหน้าพ่อแม่ มันแย่ขนาดที่ว่าใครไปปลอบก็ไม่เป็นผล"
"ผมปลุกปลอบให้กำลังใจเขา บอกเขาว่าทุกคนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้ดีว่าเขาเป็นนักเตะที่สุดวิเศษแค่ไหน พวกเราทุกคนเฝ้ารอให้เขากลับมาที่สโมสรและพร้อมจะดูแลเขาเป็นอย่างดี"
ว่ากันว่า ในช่วงปิดฤดูกาลนั้น เบ็คแฮม ใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกซ้อมฟรีคิกอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อพาตัวเองหลีกหนีจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวเขาในฟุตบอลโลก
เกมแรกของฤดูกาล 1998-99 หรือฤดูกาลหลังจบฟุตบอลโลก แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านพบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ท่ามกลางแฟนบอลกว่าครึ่งแสน และแน่นอนว่าทุกครั้งที่ เบ็คแฮม ได้บอล เขาจะถูกเสียงโห่ของแฟนทีมเยือนไล่หลังอยู่เสมอ
"แกมันไอ้เด็กโง่ แกทำให้พวกเราตกรอบ" นั่นคือ 1 ในหลากหลายถ้อยคำผรุสวาทใส่เบ็คแฮม เมื่อสบโอกาส
เอมิล เฮสกี้ กับ โทนี่ ค็อตตี้ ยิงให้ เลสเตอร์ ออกนำไปไกลถึง 2-0 ในนาทีที่ 76 ก่อนที่ เท็ดดี้ เชอริงแฮมจะยิงตีตื้นมาได้ในอีก 3 นาทีให้หลัง
เกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้, แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ฟรีคิกในนาทีสุดท้าย เสียงโห่ฮาป่าของแฟนบอล เลสเตอร์ ยังคงทำงานกันอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย แต่ เบ็คแฮม ก็พยายามปิดทุกโสตประสาทการรับรู้ และพุ่งสมาธิทั้งหมดไปที่ฟรีคิกลูกนี้
ดาวเตะรูปหล่อสาวเท้าวิ่งเข้าไปยิงด้วยท่าทีอันคุ้นตา
วินาทีที่ลูกฟุตบอลหลุดจากพันธนาการบนผืนหญ้า มันลอยละล่องหมุนข้ามกำแพงมนุษย์ของ เลสเตอร์ ก่อนจะวิ่งไปจูบที่ก้นตาข่ายอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ใช่ครับ! เดวิด เบ็คแฮม ยิงฟรีคิกกู้ชีพให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่แพ้ในนัดเปิดสนามได้สำเร็จ บนเกมที่กดดันที่สุดเกมหนึ่ง...
บนเกมที่เขากลับมาลงเล่นท่ามกลางความเกลียดชังจากคนในชาติบางส่วน...
และมันยังเกิดขึ้นบนวินาทีสุดท้ายของเกมอีกด้วย
"เดวิด เรียนรู้และเติบโตขึ้นมากจากเหตุการณ์นั้น คุณลักษณะของความเป็นนักสู้ในตัวของ เดวิด ค่อยๆ ผลักดันให้ผลงานในฤดูกาลนั้นเป็น 1 ในฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเขาเอง ทีมได้ 3 แชมป์และตัวเขาได้อันดับ 2 บัลลง ดอร์ มันน่าเหลือเชื่อมาก หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงซัมเมอร์ที่ทุกคนโกรธจนอยากจะฆ่าเขา"
"เดวิด เอาชนะความเกลียดชังเหล่านั้นด้วยผลงานในสนามที่ใครก็เถียงไม่ออก ซึ่งนั่นทำให้ผมมีความสุขมากนะ เพราะมันหมายความว่าหน้าที่ของผมในการเป็นผู้จัดการทีมนั้นมันได้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว"
แม้จะเอาชนะเสียงวิจารณ์จากฟุตบอลโลกคราวนั้นได้สำเร็จ อันมาจากผลงานในสนามกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่สำหรับในนามทีมชาตินั้น ผมเชื่อว่า เบ็คแฮม ยังคงคาใจและต้องการพิสูจน์ตัวเองแก่แฟนๆ ทั้งประเทศอยู่
ก่อนที่โอกาสนั้นจะมาถึงในอีกเกือบ 4 ปีต่อมา...
อังกฤษ ต้องการแค่ผลเสมอก็จะเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2002 ได้ทันที หลังทีมคู่ปรับอย่าง เยอรมัน ทำได้แค่เสมอ ฟินแลนด์ ไป 0-0
แต่ทุกอย่างกลับไม่ง่ายแบบที่คิดครับ
สิงโตคำรามถูก กรีซ บุกมานำ 2-1 ที่บ้านของตัวเอง และ เบ็คแฮม ก็ทิ้งโอกาสการทำประตูจากลูกฟรีคิกไปหลายต่อหลายครั้ง
จนกระทั่งในนาทีสุดท้ายของช่วงทดเวลาบาดเจ็บเดินทางมาถึง, อังกฤษ ได้ฟรีคิกอีกครั้ง และในช่วงเวลาดังกล่าว เท็ดดี้ เชอริงแฮม ก็มาป้วนเปี้ยนขออาสาเป็นคนยิงลูกนี้แทน
แน่นอนว่า เบ็คแฮม ปฏิเสธ
"ระยะนี้มันไกลเกินไปสำหรับนาย เท็ดดี้, เชื่อฉันเถอะ ฉันทำได้"
หลังสิ้นเสียงนกหวีดจากตุลาการอันเป็นสัญญาณให้เล่นลูกตั้งเตะ เบ็คแฮม รวบรวมสมาธิทั้งหมดอีกครั้ง
เขาสืบเท้าวิ่งเข้าไปบรรจงร่ายเวทย์มนตร์แห่งฟรีคิก เหมือนครั้งที่เขายิงใส่ เลสเตอร์ เมื่อเกือบ 4 ปีก่อน
ลูกฟุตบอลหมุนข้ามกำแพงมนุษย์จากระยะกว่า 25 หลา ก่อนจะพุ่งวาบเข้าไปสลบที่ก้นตาข่าย พร้อมกับเสียงเฮจนสนามแทบแตก
เบ็คแฮม แหกปากสะใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แฟนบอลสิงโตคำรามก็มอบความรักทั้งหมดไปที่ เบ็คแฮม อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นเดียวกัน
ความผิดพลาดในอดีตทุกอย่างถูกทุบทิ้งลงไปจนหมดสิ้น หลังประตูนี้เกิดขึ้นบนช่วงเวลาไคลแม็กซ์ ราวกับบทภาพยนตร์ที่ถูกขีดเขียนเอาไว้ล่วงหน้า
นับตั้งแต่วินาทีนั้น อิงลิชชนลบภาพของเด็กโง่จากปี 98 ออกไปจากหัว และถูกแทนที่ด้วยภาพของ "ฮีโร่" ผู้กอบกู้ชาติอย่่างสมบูรณ์
"บทเรียนชีวิตที่ยากที่สุดของผมได้ผ่านพ้นไปแล้ว และผมคิดว่าประตูนี้ จะทำให้ผมได้รับการยกโทษเสียที"
ถัดมาอีก 4 ปีให้หลัง, เดวิด เบ็คแฮม เดินจากทีมไปนานแล้ว และสโมสรก็อ้าแขนโอบอุ้มเด็กหนุ่มหน้าเปื้อนสิวจาก โปรตุเกส ที่ชื่อว่า "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" เข้ามาเป็นสตาร์คนใหม่ของทีมแทน โดยที่ โรนัลโด้ นั้น ก็พบเจอชะตากรรมที่ไม่ต่างจาก เบ็คแฮม เลยครับ
และก็เป็นอีกครั้งที่ เฟอร์กี้ ต้องใช้จิตวิทยาขั้นสุดในการพาเด็กน้อยคนนี้ก้าวข้ามช่วงเวลาที่เลวร้ายนั้นไปให้ได้
เรื่องมันเริ่มขึ้นในฤดูร้อนปี 2006
มันคือวันที่สื่ออังกฤษ พยายามหาแพะตัวโตๆ มาระบายอารมณ์ในวันที่ทีมชาติของพวกเขาตกรอบฟุตบอลโลกด้วยน้ำมือของ โปรตุเกส
เหมือนในปี 1998 นั่นแหล่ะครับ ที่พวกเขาโยนความผิดให้เด็กโง่นามว่า เดวิด เบ็คแฮม โทษฐานที่ทำตัวเองโดนไล่ออกในเกมแพ้ลูกโทษต่อ อาร์เจนตินา
แค่คราวนี้เปลี่ยนตัวละครจาก เบ็คแฮม มาเป็น โรนัลโด้ แทน
"ดูนั่นสิ! เขาขยิบตาด้วย" เอียน ไรท์ ผู้บรรยายเกมของ บีบีซี โพล่งออกมาอย่างตกใจทันทีที่เห็นภาพช้าว่า โรนัลโด้ ขยิบตาไปที่ม้านั่งสำรองของโปรตุเกส หลังจากดาวเตะจอมสับเข้าไปกดดันผู้ตัดสินจน เวย์น รูนี่ย์ เพื่อนร่วมสโมสรถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม
"ไม่นะ บอกผมทีว่าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น" ผู้บรรยายร่วมอย่าง อลัน แฮนเซ่น รีบสมทบ ก่อนที่เรื่องนี้จะกลบทุกเหตุการณ์ในเกมนั้นไปเสียสนิทบนพาดหัวข่าววันรุ่งขึ้น
สื่ออังกฤษเหมือนฉลามได้กลิ่นคาวเลือด แต่ละเจ้าต่างละเลงเรื่องนี้กันสนุกมือ มีบางมุกที่แสบแต่ติดอยู่ในความทรงจำผมนั่นก็คือการเอาหน้า โรนัลโด้ จังหวะที่ขยิบตามาเป็นเป้ากระดาษให้แฟนหนังสือพิมพ์เอาไปปาลูกดอกเล่นแก้เซ็งช่วงปิดฤดูกาล
สื่ออังกฤษตอนนั้นเล่นหนักจริงๆ ครับ
ด้วยหนึ่งคือ ทีมของพวกเขาตกรอบ
ด้วยหนึ่งคือ โรนัลโด้ ไม่ใช่คนอังกฤษ
และอีกหนึ่งคือ โรนัลโด้ เป็นนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด !
ในตอนนั้น เฟอร์กี้ถึงกับยกเลิกโปรแกรมพักร้อนทุกอย่างในทันที เขาลงทุนนั่งเครื่องบินเพื่อไปคุยกับ โรนัลโด้ ด้วยตัวเองถึง ลิสบอน เมื่อลูกรักของเขาจบภารกิจฟุตบอลโลก
"โรนัลโด้ ไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก เราได้รับการติดต่อจาก ราม่อน กัลเดร่อน ว่าเขาพร้อมจะซื้อ โรนัลโด้ ด้วยสถิติโลกทันทีที่จบการเลือกตั้ง และ โรนัลโด้เอง ก็พร้อมจะย้ายไป เรอัล มาดริดด้วยเช่นเดียวกัน" จอร์จ เมนเดส เอเยนต์ของ โรนัลโด้ ต่อสายตรงคุยกับเฟอร์กี้
"ผมว่านี่เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก รอสักเดี๋ยว ขอผมไปคุยกับ โรนัลโด้ ด้วยตัวเองก่อน แล้วเราค่อยมาตกลงกันใหม่" เฟอร์กี้ ตัดบทจากซูเปอร์เอเยนต์ แล้วรีบบินไปคุยกับ โรนัลโด้ โดยเร็วที่สุดทันที
เมื่อได้เจอหน้ากัน เฟอร์กี้ รู้ดีว่า โรนัลโด้ นั้นกำลังอยู่ในช่วงที่สับสนมากที่สุด
"นายจะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น" พ่อคนที่สองของ โรนัลโด้ เปิดประโยคด้วยความชัดเจน
"แกเป็นนักเตะที่กล้าหาญที่สุดคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่การเลือกเดินจากไปในตอนนี้ไม่เรียกว่าความกล้าหาญหรอกนะ"
จากนั้น เฟอร์กี้ ก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่ เบ็คแฮม ถูกคนอังกฤษถล่มในปี 1998 ให้ฟัง
"มันเหมือนกับกรณีนี้ของแกไม่มีผิด มีคนแขวนคอหุ่นหน้าตาแบบ เบ็คแฮม ไว้ที่ผับหลายที่ในลอนดอน เขากลายเป็นปีศาจร้ายของคน อังกฤษ ในทันที มันน่าเจ็บปวดแค่ไหนที่คนในชาติชิงชังเขา แต่ เบ็คแฮม ก็ยังกล้าต่อสู้เพื่อลบคำสบประมาทและความเกลียดชังนั้นจนสำเร็จ"
"แกต้องผ่านมันไปให้ได้"
ตัดกลับไปที่โต๊ะสนทนาระหว่าง เฟอร์กี้ กับ เมนเดส
"ผมไม่ต้องการขายเขาให้ กัลเดร่อน ในเวลานี้ คุณก็รู้ว่าเขาเอา โรนัลโด้ มาเป็นเครื่องมือหาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานมาดริด, เอางี้ดีกว่า ผมรับปากว่าจะปล่อยเขาไปที่นั่นก็ต่อเมื่อเขาเล่นได้ดี คุณคิดว่ายังไง"
เมนเดส อมยิ้ม และค่อนข้างเห็นด้วย "ผมก็คิดว่าในตอนนี้ โรนัลโด้ ยังไม่พร้อมเช่นกัน เมื่อเขาเล่นได้ดี เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที"
เฟอร์กี้ เองค่อนข้างพอใจในทัศนคติของ เมนเดส กับการเป็นเอเยนต์ที่คิดถึงตัวนักเตะมาก่อนผลประโยชน์เสมอ และทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่า "พวกเขาเชื่อใจกันและกันได้"
เกมแรกของโรนัลโด้ในการเล่นเป็นทีมเยือนหลังจากจบฟุตบอลโลก เกิดขึ้นกับ ชาร์ลตัน แอธเลติค
ในวันนั้น เฟอร์กี้ เล่าว่ามีแฟนบอลคนนึงตะโกนด่า โรนัลโด้ ตอนเดินมาเล่นลูกทุ่มข้างสนามเสียงดังเลยว่า
"ไอ้ชาติหมาโปรตุเกส"
เฟอร์กี้ยังบอกอีกว่านั่นเป็นคำด่าที่สุภาพที่สุดแล้ว หากเทียบกับคำด่าอื่นๆ ในสนามวันนั้น
"ช่วงแรกเขาดูประหม่านะ แต่พอผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มกลับมาเป็นคนเดิม, มีจังหวะนึงก่อนหมดครึ่งแรก เขาลากเลื้อยผ่านกองหลัง ชาร์ลตัน ไป 4 คนก่อนจะตะบันชนคานดังสนั่น ทำเอาหมอนั่นนั่งเงียบกริบ และไม่พูดอะไรอีกเลยตลอดทั้งเกม ผมคิดว่าเขาคงรู้ตัวแล้วว่าคำด่าของเขาไปกระตุ้นให้ โรนัลโด้ อันตรายมากขึ้น"
มันคือเรื่ิองจริงที่ โรนัลโด้ ชื่นชอบเสียงด่าทอ เพราะสิ่งนี้คือเชื้อไฟชั้นดีที่ยิ่งสุมให้ฟอร์มการเล่นของเขาร้อนแรงมากขึ้น
"ความรักทำให้ผมแข็งแกร่ง แต่ความเกลียดชังของพวกคุณจะทำให้ผมไร้เทียมทาน"
ไม่มีใครอีกแล้วที่เหมาะสมกับคำๆ นี้ไปมากกว่าโรนัลโด้
จบฤดูกาลดังกล่าว ดาวเตะหมายเลข 7 ผู้ถูกคน อังกฤษ เกลียดชังยิ่งกว่าขี้มีส่วนร่วมกับการได้ประตูของ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 43 ลูกจาก 53 นัด (ยิง 23, แอสซิสต์ 20) ซึ่งเป็นสถิติที่พุ่งพรวดจากฤดูกาลก่อนหน้าถึงเท่าตัว พร้อมกันนั้นยังคว้ารางวัลส่วนตัวมากมายอีกเป็นกระบุงโกย
นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ, ดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ, ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก, ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีจากการโหวตของผู้สื่อข่าว และนักเตะยอดเยี่ยมจากการโหวตของแฟนบอล
มันคือขวบปีแห่งก้าวกระโดดที่น่ามหัศจรรย์มากๆ เลยทีเดียว
ไม่รู้ว่าสื่อ อังกฤษ จะรู้ตัวหรือเปล่า ว่าพวกเขาคือคนที่ปลดล็อคพลังที่อัดอั้นอยู่ในตัวของ โรนัลโด้ ให้ทะลักล้นออกมาจากเหตุการณ์หาแพะในวันนั้น
ดูได้จากสถิติก่อนหน้าที่โรนัลโด้ทำประตูในแต่ละฤดูกาลไม่ถึง 15 ประตู แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นเขากลับเริ่มแปลงร่างเป็นเครื่องจักรถล่มประตูชนิดที่ไม่มีใครหยุดอยู่ขึ้นเรื่อยๆ
ฤดูกาล 2006-07: 23 ประตูกับ 20 แอสซิสต์
ฤดูกาล 2007-08: 42 ประตูกับ 8 แอสซิสต์
ฤดูกาลสุดท้ายในอังกฤษ: 26 ประตูกับ 12 แอสซิสต์ ก่อนจะย้ายไปอยู่ มาดริด ด้วยสถิติโลกในเวลาต่อมา
เฟอร์กี้ รักษาสัญญากับ โรนัลโด้ เรื่องการย้ายทีม ส่วน โรนัลโด้ ตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจที่เฟอร์กี้มีต่อเขาด้วยแชมป์ยุโรป และ บัลลง ดอร์ในปี 2008
เช่นเดียวกับกรณีของ เบ็คแฮม
นอกจากหัวจิตหัวใจนักสู้ของทั้งคู่ที่ควรได้รับการยกย่องแล้ว อีก 1 คนที่สมาคมฟุตบอล อังกฤษ ควรส่งหนังสือไปขอบคุณนั่นก็คือ คนสก๊อตแลนด์ที่ชื่อว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
หากไม่ใช่เพราะชายแก่คนนี้ที่คอยประคบประหงม และผลักดันให้เด็กโง่ในสายตาคนทั้งชาติอย่าง เบ็คแฮม กลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง เราอาจไม่ได้เห็นทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกปี 2002 ก็เป็นได้
โรนัลโด้ เองก็แทบไม่ต่างกัน
หากในวันนั้น คนที่กุมบังเหียนสีแดงของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่ เฟอร์กี้ ใครจะกล้ารับประกันว่าเขาจะทะยานก้าวข้ามไปเป็นยอดมนุษย์แบบในทุกวันนี้ได้
เพราะหน้าที่ของผู้จัดการทีม
ไม่ใช่แค่เลือกตัวผู้เล่นลงไปในสนาม...
ทว่า มันยังรวมไปถึงการช่วยพัฒนานักเตะในทีมให้ดีไปกว่าที่เป็นอยู่ เหมือนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำมาตลอดเกือบ 30 ปี จนกลายเป็นตำนานซึ่งต่อให้คุณไม่ชอบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ก็ปฏิเสธจากก้นบึ้งหัวใจไม่ได้หรอกว่า บรมกุนซือแบบนี้ คือ "ปรากฏการณ์" ที่อาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้วบนโลกฟุตบอลยุคใหม่
กุนซือที่เป็นทั้งโค้ช, นักบริหาร, เป็นเจ้านาย และยังเป็นพ่อบุญธรรมชั้นยอดอีกด้วย
ปล. งานเขียนชิ้นนี้เป็นการเพิ่มและรวบรวมบทความที่ผมเคยเขียนในเพจ Vivasoc มาแล้ว เป็นการนำมารีโนเวทเนื้อหาใหม่ หากใครชอบงานเขียนของผม สามารถไปติดตามอ่านงานเก่าๆ ที่เพจ Vivasoc ได้เลยนะครับ ค้นหาคำว่า #มุมนักอ่าน ก็จะเจอหลายงานเลย
#ทดเวลาบาดเจ็บ #เซอร์อเล็กซ์เฟอร์กูสัน #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #เบ็คแฮม #โรนัลโด้
โฆษณา