3 มิ.ย. 2020 เวลา 03:52 • ไลฟ์สไตล์
Into the magic shop เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ
คนเขียน ดร.เจมส์ อาร์ โดตี
คนแปล นายแพทย์นที สาครยุทธเดช
เรื่องเล่าจากจากเหตุการณ์จริงของจิม เด็กผู้ชายซึ่งมีความหลงใหลในการแสดงมายากล เขาเกิดมาในครอบครัวยากจน พ่อติดเหล้า แม่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และมีพี่ชายที่ไม่สู้คน ตลอดช่วงชีวิตในวัยเด็กจิมต้องเจอกับเหตุการณ์ความรุนแรงในบ้านมาตลอด ทั้งพ่อที่ชอบตีแม่เพราะเมาเหล้า แม่ที่พยายามจะฆ่าตัวตายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และพี่ชายที่มักโดนคนอื่นแกล้งเสมอ ดังนั้น จิมจึงเป็นคนเดียว ที่เรียกได้ว่าเป็นคนดูแลคนอื่นๆในครอบครัว เสมอมา
ขณะอายุ 12 ปี วันหนึ่งจิมขี่จักรยานตามหาพี่ชายจนไปเจอร้านมายากลเล็กๆ ในเมืองแลงแคสเตอร์ และเป็นวันที่เขาได้พบกับ รูธ คนที่สอนกลวิเศษ 4 ข้อ จนทำให้เขาได้กลายมาเป็นประสาทศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงในอเมริกา
.
กลวิเศษของรูธประกอบไปด้วย 4 ข้อ คือ (1) การผ่อนคลายร่างกาย (2) การทำจิตใจให้สงบ (3) การเปิดหัวใจ (เข็มทิศของหัวใจ) และ (4) การกำหนดเป้าหมาย/สิ่งที่อยากได้ให้ชัดเจน ระยะเวลาฝึกกลทั้งหมด 6 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน ไม่นานผลของกลวิเศษก็ปรากฎ จิม สามารถควบคุมตนเองได้จากสถานการณ์แย่ ๆ ในบ้าน และในชีวิตประจำวันที่เจอ เขามีสติและไม่ตอบโต้สถานการณ์ด้วยอารมณ์ แม้ว่าตอนนั้นเขากำลังจะโดนเด็กวัยรุ่นที่เป็นหัวโจกซัดหน้า แต่สุดท้ายวัยรุ่นคนนั้นปล่อยเขาไปด้วยสีหน้าที่ซ่อนความกลัวไว้ในดวงตาของผู้ที่กำลังจะลงมือ และเดินจากไป
.
กลของรูธสัมฤทธิ์ผลกับจิม... การผ่อนคลายร่างกาย และการทำจิตใจให้สงบ ช่วยให้จิมเป็นคนที่รับมือการสถานการณ์เลวร้ายได้
.
สัปดาห์สุดท้ายของการฝึกกลช่วงการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เป้าหมายของจิมคือการเป็นหมอ และเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ และความฝันอีกมากมาย เขาวาดภาพนั้นไว้ในหัว และมุ่งมั่นที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริง
.
จิมได้เข้าเรียนโรงเรียนแพทย์แม้ว่าผลการเรียนอยู่ที่ 2.5 ซึ่งเกณฑ์การผ่านเข้ารับการคัดเลือกที่อยู่ที่ 3.8 แน่นอนว่าเกรดเขาห่างจากเกณฑ์ขั้นต่ำอยู่ไกลโข เพราะเหตุการณ์ในชีวิตที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่น จิมได้ขอเข้าพบคณะกรรมการ เพื่อสัมภาษณ์ และให้เหตุผล โดยนำกลวิเศษการผ่อนคลายร่างกายและทำจิตให้สงบมาใช้ ก่อนกล่าวว่า
“...ผมมีความฝันนี้มาตลอดชีวิต เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนผม ค้ำจุนผม เป็นสิ่งเดียวที่มั่นคงในชีวิตผม จริงอยู่ที่ผมไม่ได้มีการเรียนที่ดีเลิศมาตลอด แต่ผมควบคุมทุกอย่างไม่ได้ ผมเรียนหนัก หนักกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าผลการเรียนของผมจะไม่แสดงให้เห็นอย่างนั้น ผมยืนยันได้ว่าไม่มีใครที่มายืนต่อหน้าคณะกรรมการก่อนหน้านี้ที่จะตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องการเรียนในโรงเรียนแพทย์เท่ากับผม...”
.
เป็นไปอย่างการวาดความฝัน.. จิมได้เข้าเรียนแพทย์และกลายมาเป็นศัลยแพทย์ และกำลังจะกลายเป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับจากทุกคน เขามีทุกอย่างที่อยากได้เมื่อวัยเด็ก เขามีเงิน 75 ล้านดอลลาร์ รถหรู และทรัพย์สินอื่นๆ อีกมากมาย และมีสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีคือ ความทะนงตน และความไม่อ่อนน้อมถ่อมตน
.
เขาแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตได้ด้วยทรัพย์สินที่มีและการใช้กลวิธีที่ได้เรียนมา แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่แก้ไม่ได้นั่นคือ ความโดดเดี่ยว
หรือว่าจิมจะไม่เข้าใจกลวิเศษนั้นจริงๆ เขาลืมอะไรไป หรือบทเรียนบางอย่างไม่สามารถสอนกันได้ ต้องเจอกับตัวเองจึงจะเข้าใจ
จากนั้นไม่นานจิมล้มละลาย ในวัย 44 ปี ทรัพย์สินหายไปพร้อมๆ กับคนรอบกาย สิ่งเดียวที่เหลือคือวิชาชีพประสาทศัลยแพทย์
.... จิมกลับมาทบทวนจากสมุดบันทึกที่เขียนกลและสิ่งต่างๆ ไว้ขณะฝึกกลตอนเด็ก จนพบว่าเขาลืมกลไปหนึ่งข้อ คือ การเปิดหัวใจ หรือ การใช้เข็มทิศของหัวใจ แล้วมันคืออะไร ???
ที่ผ่านมาจิมใช้แต่สมองการแสดงกล แต่เขาลืมใช้หัวใจ
.
การใช้เข็มทิศของหัวใจ คือ การตั้งใจและทำสิ่งต่างๆ ด้วยใจอารีและเมตตา ความมีเมตตา เห็นแก่คนอื่น
เมื่อค้นพบแล้วว่ากลการเปิดหัวใจนั้นทำได้อย่างไร
.
จิมได้สร้างอักขระของหัวใจ 10 ข้อขึ้นมา เขียนในภาษาไทยเป็นคำว่า...
ความเมตตา : การรับรู้ความทุกข์ของคนอื่น และปรารถนาที่จะให้คนนั้นพ้นทุกข์ แต่คุณต้องมีความเมตตากับตนเองก่อน ไม่งั้นไม่มีทางที่มันจะเกิดขึ้นได้
 
ความภาคภูมิใจ : เป็นสิ่งที่มีในตัวเราทุกคน และต้องการได้รับการยอมรับ
 
ความสงบใจ : ความคงที่ของอารมณ์ทั้งยามที่เหตุการณ์น่าพอใจและไม่น่าพอใจเกิดขึ้น บ่อยครั้งที่เราหลงไปกับความรู้สึกดีและยึดติดมันจนเกินไป
การให้อภัย : ของขวัญที่ใหญ่ที่สุดทั้งต่อตัวเอง และคนอื่น เพราะความจริงทุกคนเคยทำผิดพลาด
ความซาบซึ้งใจ : การรู้สึกขอบคุณที่คุณยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะมีความเจ็บปวด การรู้สึกขอบคุณมีผลอย่างมากกับเจตคติในใจ คุณจะรู้สึกทันทีว่าคุณโชคดีแค่ไหนแล้ว
ความถ่อมตน : อันนี้ทำได้ยากสำหรับหลายๆ คน เมื่อเราประสบความสำเร็จ แล้วมักดีใจ และหลงไปกับความสำเร็จนั้น หากเราต้องการเชื่อมโยงกับคนอื่นอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเราตระหนักว่าทุกคนมีข้อดี ข้อเสีย เราทุกคนเท่าเทียมกัน
ความซื่อตรง : การกำหนดสิ่งที่มีค่าสำหรับคุณ และปฏิบัติสิ่งนั้นอย่างต่อเนื่อตลอดเวลา ขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ความยุติธรรม : ความรับผิดชอบที่เราจะพยุงความยุติธรรมให้กับผู้อื่น ผู้ที่ด้อยกว่า การยิบยื่นให้ผู้ที่ขาด สิ่งนี้จะทำให้สังคมมีความหมาย และชีวิตก็จะมีความหมาย
ความเอื้ออารี : การแสดงออกของความมีเมตตา ความอยากให้ผู้อื่นได้รับการดูแล โดยไม่หวังผลตอบแทน
และ
ความรัก : การให้ความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
“… ผมเองได้เริ่มตนภารกิจการค้นหาความลึกลับของสมองและหัวใจ ในร้านมายากล แต่ความจริงคือ เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปในร้านมายากลเพื่อตามหาสิ่งเหล่านั้น เราเพียงแต่มองเข้าไปข้างในจิตและใจของเรา….” - เจมส์ อาร์ โดตี
โฆษณา