3 มิ.ย. 2020 เวลา 11:50
6 แนวทางเริ่มธุรกิจโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก
เวลามีคนมาปรึกษาว่าอยากลาออกมาทำธุรกิจ ผมมักจะแนะนำว่า อย่าเพิ่งเลย ถ้าเรายังไม่รู้ว่าธุรกิจที่เราทำนั้นคืออะไร เราชอบจริงไหม หรือมันสามารถสร้างรายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของเราหรือเปล่า
นี่เป็นที่มาของแนวคิด ผู้ประกอบการวันหยุด หรือ Weekend Entrepreneur นี่แหละครับ คือมันเหมือนเป็นสนามทดลองให้เรารู้ก่อนว่า ชีวิตผู้ประกอบการเป็นอย่างไร
มันคล้าย ๆ เป็นก้าวเล็ก ๆ ที่จะพาเราออกไปจากสิ่งที่เราคุ้นเคย
แต่มันมีข้อแม้อย่างหนึ่งคือ ก้าวเล็ก ๆ นี้ เราจะต้องผิดพลาดได้ เพราะมันมีโอกาสผิดพลาดสูง
เรายังไม่เคยทำธุรกิจ ทำครั้งแรก จะให้สำเร็จเลย มันไม่ง่ายครับ
ดังนั้นองค์ประกอบของธุรกิจวันหยุดอันหนึ่งของผมคือ...
"จะต้องไม่ใช้เงินลงทุนมาก"
แล้วธุรกิจแบบไหนที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก... เอาเป็นว่าผมลองยกตัวอย่างดังต่อไปนี้ครับ
1) การสอน
อันนี้บอกได้เลยว่า เงินลงทุนขั้นต้นน้อยมากหรืออาจจะไม่มีเลย แต่พูดแบบนี้ ไม่ได้แปลว่า อยู่ดี ๆ เราก็จะสอนได้นะครับ
อะไรที่ไม่ได้ใช้เงินลงทุน มันก็ต้องแลกด้วยความพยายามเราครับ
แปลว่า เราก็ต้องหาความรู้ให้มากเพียงพอในสิ่งที่เราอยากจะสอน เพราะถ้าเราไม่มีความรู้ ก็คงไม่มีใครอยากมาเรียนกับเรา
การสอนจริง ๆ แล้วมันก็คือการบริการในรูปแบบหนึ่งนั่นแหละครับ เพียงแต่มันเป็นบริการในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความรู้ที่ตอบโจทย์ผู้คนเท่านั้น
ท่านทำอาหารเก่ง ก็ลองไปสอนคนอื่นทำดู ท่านทำ Excel สุดยอด ก็สอนให้คนอื่นทำเป็นด้วย
เราไม่จำเป็นต้องเก่ง "ที่สุด" แค่เก่งมากกว่าคนทั่วไปก็พอแล้ว
สอนเราทำได้ทั้ง Online และ Offline ถ้า Online อย่างมากเราก็ต้องมี Computer และ Internet ก็แค่นั้น ส่วน Offline แบบเจอหน้ากัน ก็คงต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องสถานที่ แต่เราก็เปิดรับก่อน แล้วค่อยไปจองสถานที่ เมื่อมี Demand เพียงพอ
2) การให้บริการในรูปแบบอื่น ๆ
บางคนอาจจะสอนไม่เก่ง ก็ไม่เป็นไรครับ เรารับบริการทำสิ่งที่เราเชี่ยวชาญและเรารักได้เลย
เช่น เราอาจจะมีทักษะในเรื่องการถ่ายรูป ก็รับจ้างถ่ายรูป เราเก่งในเรื่อง programming ก็รับจ้างทำ application หรือเราเก่งภาษาก็รับแปลหนังสืออะไรแบบนี้
จะเห็นว่าการให้บริการส่วนใหญ่ก็ใช้เงินลงทุนไม่เยอะเช่นกัน
3) ทำ Digital Product
อันนี้อาจจะมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่เราเลือกได้ครับ
เช่น เราอาจจะเขียนหนังสือแล้วทำเป็น Ebook แบบนี้ เราก็ไม่ต้องใช้เงินลงทุนอะไรมากมาย อย่างมากก็อาจจะค่าออกแบบทำให้ Ebook เราดูสวยงาม
หรือแม้กระทั่งทำ Program อะไรง่าย ๆ ที่ตอบโจทย์คนใช้ (ไม่ต้องถึงกับทำ Application ที่ใช้เงินเป็นล้านอะไรแบบนั้น) ตรงนี้ ถ้าเราทำเองได้ ต้นทุนก็น้อย ถ้าทำไม่ได้ก็จ้างเขาทำ แต่ก็คงต้องเลือกที่ไม่ต้องจ่ายเงินมากนัก
หรือจะเป็นรูปแบบ Course Online (ซึ่งเข้าข่ายข้อที่ 1 เหมือนกันคือการสอน) ก็ถือเป็นรูปแบบ Digital Product เช่นกันครับ
4) ผลิตสินค้าจำหน่าย แต่ทำแบบ Pre-Order หรือ Made to Order
การผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายอาจจะต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 3 ข้อแรก แต่ถ้าเราสามารถทำแบบ Pre-Order ได้ คือให้มีการสั่งจองมาก่อน และเมื่อลูกค้าโอนเงินมา เราก็เอาเงินนั้นผลิตเท่าที่มีการสั่งจอง แบบนี้เงินลงทุนของตัวเองที่ต้องใช้ก็น้อย
หรือจะเป็น Made to order ก็ได้ อันนี้คือ สั่งมาที ก็ผลิตที คืออาจจะต้องลงทุนเองบ้าง แต่ก็ไม่เยอะ เพราะเราจะผลิตเฉพาะที่มีคนสั่งแล้วเท่านั้น (ถ้าของมีราคาสูงก็คงต้องมีการมัดจำ)
5. ซื้อมาขายไป
อันนี้จริง ๆ คล้าย ๆ ข้อที่ 4 เพียงแต่เราไม่ผลิตเอง
ยกตัวอย่างเช่น เราไปใช้สินค้าอันหนึ่งของต่างประเทศ แล้วเราชอบมาก เราก็อาจจะสั่งของมาจากต่างประเทศ แล้วนำมาขายในประเทศ
เพียงแต่ว่า เราอาจจะไม่ได้สั่งมาแบบถล่มทลาย เอาแค่เราคิดว่าพอจะขายได้ หรือแม้กระทั่งให้ลูกค้าสั่งมาก่อนก็ยังได้
6) ทำ Content
ตรงนี้ก็เป็น Model ธุรกิจอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยม เช่น การทำ Youtube และได้เงินจากโฆษณา การเปิด Blog เขียนบทความที่โฆษณาสินค้าหรือบริการ และได้เงินจาก % รายได้ที่เกิดขึ้นจากการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ๆ (ที่เขาเรียกกันว่า Affiliate Marketing) หรือ การทำ Podcast แล้วมี Sponsor สนับสนุนเพื่อให้โฆษณาสินค้า เป็นต้น
จะเห็นว่า Content แบบนี้ เราไม่ได้ลงทุนอะไรมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเริ่มวันแรกมันจะมีเงินเข้ามาเลย ความสม่ำเสมอและฝีมือจะต้องมีด้วยเช่นกันครับ (แต่สิ่งเหล่านี้ มันเรียนรู้กันได้ทั้งสิ้นครับ)
อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างนะครับ ท่านอาจจะมีรูปแบบการหาเงินได้หลากหลายทางที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง
เมื่อไม่ใช้เงินเยอะ ก็แปลว่า เราล้มเหลวได้
เมื่อเราล้มเหลวได้ เราก็เรียนรู้ได้
และเมื่อเราเรียนรู้ได้ เราก็สำเร็จได้
ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จจากการทดลองเล็ก ๆ อย่างนี้นะครับ
โฆษณา