3 มิ.ย. 2020 เวลา 18:43
4/06/1018
ช่วงนี้เรื่องพวกทรงเจ้าเข้าผีนี่กำลังเป็นที่สนใจของสังคมพอสมควร อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ของตัวเองที่เจอกับคนไม่ว่าจะในครอบครัวหรือรอบข้าง กับสังคมที่ถูกหล่อหลอมมาเรื่องพวกนี้ (จนทำให้มีช่วงนึงของชีวิตที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย ต้องพึ่งพวกทรงเจ้าทำนายอนาคตตลอดทุกครั้งที่จะทำอะไรเรียกง่ายๆว่าเสียความมั่นใจไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ)
เอาหล่ะ เท่าที่ผมจำความได้ครอบครัวผมถูกชักจูงและชักชวนโดยป้าผมให้รู้จักกับร่างทรงสมมุติเทพคนนึง ซึ่งย้ายมาจากนราธิวาสหรือปัตตานีนี่ผมจำไม่ค่อยได้ ย้ายมาอยู่น่านทั้งครอบครัว (ไม่รู้ว่าป้าไปเจอได้ยังไง)ไม่รู้ว่าหนีอะไรมารึป่าว บอกตัวเองเป็นร่างทรงขององค์เทพ(จำชื่อไม่ได้)อายุเทพ7ขวบ จะกี่ปีกี่ปีก็7ขวบ (โครตAmazingสัสๆ)
กลวิธีนี่คือสร้างความเชื่อถือด้วยการทำนายทายทักอนาคต รู้เช่นเห็นชาติกันเลยทีเดียว อนาคตจะเป็นอย่างนั้นนะอย่างนี้นะ ถ้าไม่อยากได้รับเหตุร้ายแรงก็ทำสะเดาะเคราะห์ ทำบุญถวายสิ่งของต่างๆให้กับตำหนัก (จริงคือบ้านที่อยู่นั่นแหละ)
มองไม่เห็นอนาคตหรอ ทำบุญถวายหลอดไฟให้องค์เทพสิ ช่วงนี้การเงินไม่ดีหรอ ถวายตู้สิ จะได้เก็บเงินได้ ทะเลาะกันในครอบครัวหรอ มีเรื่องไม่สบายกับการทำงานหรอ ถวายพัดลมเอย ตู้เย็นเอย ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการหากินบนความไม่สบายใจของคน จนตำหนักที่ไม่เคยมีอะไร จนมีครบทุกอย่าง พูดง่ายๆก็คือบ้านหนึ่งหลังที่มีเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างครบครันดีๆนี่เอง
ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกวัน แม่และป้าผมจะให้น้าที่ทำงานในเมืองซื้อกับข้าวไปให้ทุกวัน ชนิดที่ไม่ต้องลงทุนไรเลยหุงแค่ข้าวรอก็มีกับข้าวมาประเค็นให้ถึงที่ เรื่องที่คิดว่าหนักที่สุดคือแม่งอยากไปเที่ยวทะเล คือก็ต้องเหมารถพาไปเที่ยวทะเล ไปแต่ตัวทัวร์กับครอบครัวมันเลย อื้อหื้อสบายเกิ้น อิจฉาเลยครับ
มีการสร้างกฏเกณฑ์ต่างๆในการทำกิจกรรมต่างๆในสังคมที่อยู่กัน จริงๆมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ เช่นการกินข้าวร่วมกัน ด้วยวัฒนธรรมหรือความเคยชินของคนทางภาคเหนือช้อนกลางของแต่ละจานมักจะใช้ตักร่วมกันกับอาหารหลายอย่าง ก็แค่เปลี่ยนให้แต่ละเมนูมีช้อนกลางสำหรับเมนูนั้นๆ เพราะว่าองค์จะกินไม่ได้ หนักกว่านั้นคือองค์จะไม่กินอาหารที่เป็นเศษอาหารหรือแม้กระทั่งอาหารที่มีคนชิมก่อนขึ้นโต๊ะรับประทาน
(มีครั้งหนึ่งพี่สาวลูกป้าสองคนลองกินก่อนแล้วค่อยตักไปให้สมมุติเทพกิน ปรากฏว่าไงครับ ไม่เป็นไร และองค์เทพยังไม่รู้เรื่องเลย ไหนว่าหยั่งฟ้าถามทะเลรู้เช่นเห็นชาติทุกอย่างไง)
วาทะกรรมต่างๆถูกนำมาใช้หากินเรื่อยๆ บนพื้นฐานความเชื่อที่โครตจะงมงายของคนในครอบครัวและรอบข้างผม นานนับสิบๆปี ที่เป็นอยู่ (ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก นานเสียจนจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ไม่ต้องถามเรื่องเงินที่หมดไปนะครับ คิดว่าประเมินค่าไม่ได้ครับ ทั้งสิ่งของเงินทอง) มีหลายคนเช่นพ่อผม พี่ๆ น้า หลายคนที่ไม่เชื่อพยามเตือนแต่สิ่งคือได้กลับมาคือ การถูกมองเป็นคนที่แบบหลบหลู่กับความเชื่อคนอื่น (หมดคำพูด)
ที่ผมคิดว่าเป็นการทำร้ายผมที่สุด เป็นความรุนแรงสำหรับผมเลย ไม่ใช่ประเด็นการบังคับให้กินเบียร์ตั้งแต่เด็กๆที่เคยเขียนไป แต่เป็นเรื่องที่ให้สมมุติเทพเข้ามามีบทบาทในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การเดินทาง การใช้ชีวิตต่างๆ ถูกโยงเข้ากับสมมุติเทพ หลายครั้งที่ประสบอุบัติเหตุเพราะความประมาท เจ็บเพียงเล็กๆน้อยก็จะต้องไปขอบคุณสมมุติเทพที่ช่วยไว้ เพราะเราทำบุญสะเดาเคราะห์ไปเมื่อครั้งก่อน การเรียนการสอบต่างๆเมื่อสอบผ่าน
แทนที่จะได้รับคำชมจากความพยามของเรา กลับถูกกลบไปด้วยคำว่า “เพราะเทพช่วยเอาไว้เลยทำให้ประสบความสำเร็จตามที่หวัง” เป็นอย่างนี่ดำเนินมาเรื่อยๆ นานเข้านานเข้า จนทำให้ผมกลายเป็นที่ไม่เหลือความมั่นใจในตัวเองไปพักใหญ่ หลายครั้งที่มีสอบผมจะบอกให้ไปบูชาเทียน(ตามความเชื่อคนบ้านผมคือการที่เราเอาชุดที่เราใส่ประจำไปให้ปราชญ์หรือหม่อสู่ขวัญประจำหมู่บ้านทำพิธีจุดแสงสว่างให้กับบุคคลนั้นๆ) การไปขอพรจากสมมุติเทพ การขอพรจากพระ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่ไม่เคยพึ่งพาตัวเองเลยสักครั้ง ถ้าสอบผ่านทุกอย่างเครดิตจะตกไปยังพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แต่เมื่อสอบตกทุกอย่างกลับมาลงที่ตังผมด้วยคำว่าก็เพราะเราไม่พยามไง ไม่อ่านหนังสือไง (อ่าวไหงองค์เทพต่างๆที่รู้เช่นเห็นชาติทุกอย่างกลับไม่ช่วยนะ เวลาที่ผมตกต่ำกลับไม่เคยเห็นองค์เทพมาอยู่ใกล้ๆ แม้แต่คนในครอบครัวก็ยังไม่พูดถึง) ผมทนอยู่กับความรุนแรงเช่นนี้มานับสิบปี จนหลายครั้งที่ผมหลงไปกับลัทธิการบูชาสมมุติเทพเหล่านี้เพียงคิดว่ามันจะเยียวยาจิตใจผมได้ โดยสิ่งที่ผมไม่เคยคิดถึงตลอดช่วงเวลาคือการพึ่งพาตนเอง
หลายครั้งที่ครอบครัวประสบปัญหาต่างๆ มักจะมองและโทษไปถึงเวรกรรมบาปบุญ สะบดน้อยใจตัวเองแทนที่จะมานั่งทบทวนปัญหาว่าเหตุใดทำไมเราถึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้ แต่ทุกอย่างมันผ่านถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะเราลงมือทำ ให้มันผ่านทุกปัญหามาได้ทั้งนั้น หลายครั้งที่ผมและพี่ชายพยามเตือนแม่ให้เข้าใจและยอมรับกับความเป็นไปของชีวิต การที่เราพึ่งพาตนเองมากกว่าการมารอให้สมมุติเทพที่ไม่มีแม้แต่ตัวตนของตนเอง มายืมอาศัยร่างคนอื่นให้เป็นภาระมาช่วย (จริงๆมองว่าพวกทรงเจ้าเข้าผีนี่ น่าจะเป็นพวกที่มีปัญหากับครอบครัวหรือสังคม เลยพยามสร้างจุดเด่นเพื่อให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับและมีจุดยืนในสังคม ในความคิดส่วนตัวนะ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่)
ที่ผมดีใจคือตอนนี้แม่ผมเริ่มตาสว่างและไม่มีการติดต่อกับสมมุติเทพแล้ว ก็เห็นชีวิตมีความสุข มีตังมากกว่าตอนที่ยังนับถือบูชาด้วยซ้ำ เป็นห่วงก็แต่ป้าที่ยังคงติดกับวงโคจรนี้และยากที่จะถอนตัวเองออกมา เป็นเพราะด้วยทัศนคติต่อความเชื่อความศรัทธาที่แรงกล้าของแกที่ใครก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ผมก็ได้แต่นั่งยิ้มให้แกในวงสนทนาเท่านั้น
สุดท้ายถึงแม้ว่าแม่ผมจะเลิกบูชาองค์สมมุติเทพแล้วหันมาบูชารูปปั้นแทน ด้วยครั้งนึงที่ผมแทบไม่เชื่อกับสายตาตัวเอง ตอนนั้นผมเห็นเหล้ารีเจนซี่วางไว้บนโต๊ะกินข้าว ด้วยความที่อยากกินบรั่นดีไทยดีๆสักวัน จึงเอาไปซ่อนก่อนจะเอาไปกิน เช้าวันต่อแม่ผมเปิดมาเคระประตูห้องขณะผมหลับ ถามหาเหล้าที่หายไป ผมหยิบให้ด้วยความอายที่โดนจับได้ และไปหลับต่อ ตื่นมาอีกครั้งต้องสะดุดเพราะบนหิ้งพระมีเหล้าแบนนั้นวางไว้พร้อมกับธูป ตรงรูปปั้นของ ร.5 ผมได้แต่เกาหัวและเก็บคำถามต่างๆไว้ในสายลมและแสงแดดเพราะผมรู้ว่าเมื่อผมคิดที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับความเชื่อของคนในครอบครัวครั้งใด หลังจากนั้นเงินที่แต่ละเดือนจะได้รับก็ถูกปรับน้อยลงตามหลักความจริงที่ผมยกมาอ้างอิงเท่านั้น The End🙄
โฆษณา