4 มิ.ย. 2020 เวลา 16:24
กลับมาแล้วค่าาา กับ📍ตอนที่ 2.6 เรื่องยาแก้หวัด📍
เมื่อพูดถึงหวัดแล้ว คงเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เป็นหวัดทีก็ต้องกินยา ทั้งยาลดไข้ แก้หวัด คัดจมูก อะไรไม่รู้สารพัด วันนี้เราจะได้มาทำความรู้จักเรื่องยาแก้หวัดกันค่ะ
หวัด เป็นโรคที่ส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (เพราะฉะนั้นห้ามกินยาฆ่าเชื้อค่ะ) ถ้าใครยังงง ๆ สามารถกลับไปอ่านเพิ่มได้ใน ตอนที่ 2.5 ยาฆ่าเชื้อ https://www.facebook.com/111306537187540/posts/136658697985657/
.
ส่วนอาการแสดงของหวัด ก็คือ รู้สึกเพลีย มีไข้ น้ำมูกไหล คัดจมูก ไอค่อก ๆ แค่ก ๆ
.
ทีนี้อาจจะเริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมคะว่าระหว่าง หวัด กับ ไข้หวัดใหญ่มันต่างกันอย่างไร
ก่อนอื่นต้องเริ่มก่อนว่า “หวัด” หรือไข้หวัดธรรมดา ๆ (ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า common cold : คอม-มอน-โค) เป็นคนละโรคกันกับ “ไข้หวัดใหญ่” (ภาษาอังกฤษเรียกว่า flu : ฟลู หรือ influenza : อิน-ฟลู-เอ็น-ซ่า)
โดยความแตกต่างของสองโรคนี้สังเกตง่าย ๆ ที่อาการค่ะ
กล่าวคือ เป็นหวัดมักจะไข้ไม่สูงมาก ไม่ค่อยปวดเนื้อปวดตัว มักมีน้ำมูกใส ๆ ไหลตลอด
แต่ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่มักจะไข้สูงมาก ประมาณ 38-39 องศาเซลเซียสได้ ปวดเนื้อปวดตัว ปวดกระบอกตา แต่จะไม่ค่อยจาม ไม่ค่อยมีน้ำมูกค่ะ
🌟ทั้งนี้ ไม่มีอะไร 100 % ทางการแพทย์🌟
บางทีอาการดูเหมือนเป็นหวัดธรรมดาแต่ก็เป็นไข้หวัดใหญ่ได้ หรือบางทีอาการเหมือนจะเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่กลับเป็นแค่หวัดธรรมดาเท่านั้น หรือบางทีดูไข้ๆ น้ำมูกไหลเหมือนกัน แต่ว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือโรคแปลก ๆ อื่น ๆ เช่น ไข้เลือดออก ไข้รากสาดใหญ่ ไข้ไทฟอยด์ อะไรอีกมากมาย ก็เป็นได้
.
ซึ่งเป็นเหตุผลที่หมอต้องขอป้ายจมูก ป้ายนู่น ป้ายนี่ เผื่อเอาไปตรวจเชื้อ และเป็นการยืนยันง่าคนไข้ติดโรคนั้นจริง ๆ หมอไม่ได้คิดไปเอง
และการตรวจยืนยันเผื่อให้ได้การวินิจฉัย จะนำไปสู่การรักษาค่ะ
พูดมาซะยาว แต่จริง ๆ การเป็นหวัด นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงมาก แค่เน้นพักผ่อนเยอะ ๆ กินน้ำ กินอาหารถูกสุขลักษณะ หวัดก็จะหายได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งยา กลุ่มยารักษาหวัดนั้นเป็นยาที่”ช่วยบรรเทาอาการ” ให้ไม่รู้สึกแย่มาก ระหว่างที่รอให้ร่างกายจัดการกับเจ้าเชื้อหวัด เท่านั้นเอง
.
จากที่เคยกล่าวไปตอนต้น
1. หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ดังนั้นไม่ต้องกินยาฆ่าเชื้อ และยาแก้อักเสบ แต่ถ้าเผลอกินไปแล้วก็สามารถหยุดกินได้เลย
2. ยาแก้หวัด เป็นยาบรรเทาอาการ
ได้แก่ ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้คัดจมูก ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะ
3. ถ้าอาการดูเป็นไม่หายสักที หรือว่าอาการดูแย่กว่าหวัดธรรมดา ควรไปหาหมอค่ะ
มาดูรายละเอียดยาแต่ละชนิดกันค่ะ
1. ยาลดไข้ แนะนำเป็นพาราเซตามอล ควรกินตามน้ำหนักตัว คือ 10-15 กรัมของยาพาราฯ ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมค่ะ ง่าย ๆ คือ ถ้าหนักน้อยกว่า 67 กิโล กิน 1 เม็ด ถ้าหนักมากกว่า 67 กิโล กิน 1 เม็ดครึ่ง ไม่ก็ 2 เม็ดค่ะ กินทุก 4-6 ชั่วโมง หรือกินเมื่อมีไข้ ห้ามกินเกิน 8 เม็ดต่อวัน และระวังได้ยาซ้ำซ้อนจากพวกยาแก้หวัดที่ผสมกันมา เช่น ทิฟฟี่ ดีคอลเจน ฯลฯ รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามที่ https://www.facebook.com/111306537187540/posts/127588392226021/
2. ยาลดน้ำมูก จะเป็นยาตัวเดียวกับยาแก้แพ้นะคะ ซึ่งเราเคยได้เรียนรู้กันไปอย่างเข้มข้นแล้วในคราวก่อนนู้น สามารถไปติดตามได้ที่ลิ้งนี้ค่า https://www.facebook.com/111306537187540/posts/131164465201747/
สรุปก็คือ หากมีน้ำมูก สามารถกินยาแก้แพ้กลุ่มเก่าหรือกลุ่มที่ทำให้ง่วงได้ค่ะ เช่น ยาคลอเฟนนิรามีน แต่ว่าอาจจะต้องระวังถ้าต้องทำงานหรือขับรถนะคะ ส่วนยาแก้แพ้กลุ่มใหม่จะไม่ค่อยช่วยลดน้ำมูกค่ะ
.
3. ยาแก้คัดจมูก หรือยาซูโดเอฟีดรีน (Pseudoephedrine) เป็นยากินที่ใช้บรรเทาอาการคัดแน่นจมูกค่ะ โดยยาตัวนี้จะไปทำให้หลอดเลือดที่เยื่อบุโพรงจมูกของเราหดตัว ทำให้รู้สึกจมูกโล่งค่ะ ยาตัวนี้บางครั้ง ยังถูกนำไปใช้ผลิตเป็นยาบ้าด้วยค่ะ เนื่องจากมีโครงสร้างของสารที่คล้ายกัน รัฐจึงต้องควบคุม ดังนั้นยาตัวนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณหมอสั่งค่ะ ซื้อกินเองไม่ได้นะคะ ตัวที่ซื้อกินได้คือ ฟีนิลเอฟรีน (Phenylephrine) ซึ่งจะผสมอยู่ในยา Tiffy dey กับ Decolgen prin ค่ะ ผู้อ่านทางบ้านสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่า http://www.fda.moph.go.th/sites/Narcotics/SitePages/ViewAcademic.aspx?IDitem=5
.
นอกจากนี้ยังมียาที่ใช้พ่นและหยอดด้วยค่ะ นั่นคือ ยาออกซีเมตาโซลิน (Oxymetazoline) แต่ว่ายาชนิดพ่นนี้เมื่อใช้ไปซักพักอาจทำให้เยื่อบุโพรงจมูกกลับมาบวม และเมื่อใช้เกิน2สัปดาห์สามารถทำให้เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบได้ค่ะ ดังนั้น ไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน
ๆ นะคะ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=1219
.
นอกจากนี้หากไม่อยากใช้ยา สามารถใช้น้ำเกลือล้างจมูกในตอนเช้าแทนได้นะคะ สำหรับวิธีการล้างที่ถูกต้อง เชิญทางนี้เลยค่า https://youtu.be/UXPJG24K1Ck
สำหรับยาแก้ไอ สามารถแบ่งได้หลายประเภทตามการออกฤทธิ์ ได้แก่
.
-ยาขับเสมหะ หรือ ยาไกวเฟนิซืน (Guafenesin) ยาตัวนี้จะช่วยให้เราไอขับเสมหะออกมาได้สะดวก และช่วยให้หายใจได้ง่ายขึ้นค่ะ เวลาใช้ควรดื่มน้ำตามเยอะ ๆ นะคะ
.
-ตัวถัดมาคือ ยาละลายเสมหะ หลายๆคนอาจจะเคยได้ยิน ตัวยาบรอมเฮกซีน (Bromhexine) หรือชื่อการค้าคือ ไบโซลวอน นั่นเองค่ะ ซึ่งยาตัวนี้พบว่าไม่ได้มีผลช่วยแก้ไอเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าอยากใช้จริง ๆ ลองปรึกษาเภสัชกรดูก่อนได้ค่ะ
.
-ตัวสุดท้ายคือ ยาระงับอาการไอ หรือ ยาแก้ไอน้ำดำ หรือ M.tussis เป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีฤทธิ์กดอาการไอ ใช้บ่อยแต่ว่ามีส่วนผสมจากยาเสพติด(ฝิ่น) ซึ่งกดระบบประสาท เกิดผลข้างเคียงได้มาก ทำให้ควรใช้เมื่อมีอาการไอแห้งหนัก ๆ เท่านั้นค่ะ ไม่ควรใช้เมื่อไอมีเสมหะ เนื่องจากการไอแบบมีเสมหะเป็นหนึ่งในวิธีการกำจัดเชื้อโรคของร่างกาย เราไม่ควรไปกดมันไว้ค่ะ แล้วก็อย่าลืมใส่แมส และหมั่นล้างมือนะคะ ป้องกันการแพร่เชื้อให้คนอื่น ๆ ค่า
.
แต่จริง ๆ ถ้าเจ็บคอมากก็หาพวกยาอม ยาแก้ไอทั่วไปจิบ ๆ กิน เป็นครั้งคราวได้ค่ะ
สุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด อยากจะพูดถึงยายอดฮิตที่เราใช้เวลาเป็นหวัดกันนั่นก็คือ ทิฟฟี่ (Tiffy) กับดีคอลเจน (Decolgen) ค่ะ ยาทั้งสองตัวเป็นยาผสมระหว่าง ยาลดน้ำมูก (Chlorpheniramine) กับ ยาลดไข้ (Paracetamol) ค่ะ ส่วนยา ทิฟฟี่เดย์ (Tiffy dey) และยา ดีคอลเจนพริน (Decolgen prin) จะเป็นยาลดไข้ ลดน้ำมูก และยาแก้คัดจมูก รวมกันค่ะ ยายิ่งเยอะ แม้จะยิ่งบรรเทาอาการได้ดีในเม็ดเดียว แต่ถ้าไม่อ่านฉลากให้ดี เผลอไปกินยาซ้ำ จะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้นะคะ ดังนั้น ควรศึกษาและปรึกษาเภสัชกรทุกครั้งก่อนซื้อยาค่ะ
.
สุดท้ายจริงๆ ขอเสริมว่าสมุนไพรไทยอย่าง ฟ้าทลายโจร ของเราก็เป็นที่นิยมในการใช้แก้หวัดแก้เจ็บคอนะคะ สามารถติดตามวิธีการใช้ที่ถูกต้องได้ที่นี่ค่า https://www.facebook.com/175702865780858/posts/1969743733043420/
สรุปแบบสรุปที่สุดค่ะ ถ้าเป็นหวัด (ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล มีไข้)
1. “ห้าม” ซื้อยาฆ่าเชื้อกินเองเองค่ะ! หวัดหายเองได้ กินยาบรรเทาอาการพอ
2. ถ้ามีไข้ เลือกใช้พาราเซตามอล เป็นอันดับแรกนะคะ!
3. ยาแก้แพ้กลุ่มเก่าช่วยลดน้ำมูกได้ แต่ว่าทำให้ง่วงซึม ต้องระวัง! ส่วนยาแก้แพ้กลุ่มใหม่ กินแล้วไม่ง่วงแต่ไม่ช่วยลดน้ำมูก
4. คัดจมูกสามารถใช้น้ำเกลือล้างได้ ถ้าจะกินยาต้องไปหาหมอ และยาแบบพ่นห้ามใช้นานๆ
5. ไอมีเสมหะ ไม่ต้องกินยาระงับการไอ ถ้าไอแห้งหนักๆสามารถกินยาได้ แต่ยามีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง และยาละลายเสมหะไม่ต้องกินก็ได้ค่ะ
6. Tiffy และ Decolgen เป็นยาผสม อ่านฉลากก่อนกิน และระวังกินยาซ้ำซ้อน
โฆษณา