5 มิ.ย. 2020 เวลา 13:08 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
อเมริการอดพ้นจากการระบาดไข้หวัดใหญ่ปี 1957 ได้อย่างไร?
ขวดไวออลและแพกเกจจิ้งของ 1957 H2N2 vaccine ณ พิพิธฑภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา โดยกระบวนการผลิตกว่าจะได้วัคซีนลอตแรกมานั้น ต้องทดสอบกับไข่ไก่นับพันฟองต่อวัน
เมษายนปี 1957 เกิดการระบาดของไวรัสที่ทำลายระบบทางเดินหายใจในทวีปเอเชียตะวันออก ไวรัสแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมีอัตราการตายที่สูง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ Covid-19 ที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงมาก โดยเฉพาะชาวอเมริกัน
แต่การระบาดของทั้งสองยุคมีจุดแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่ง
Maurice Hilleman
ในยุคนั้น Maurice Hilleman นักจุลชีววิทยาชาวอเมริกัน รีบแจ้นไปยังสถาบันวิจัย Walter Reed Army Institute เขาศึกษาลักษณะการแพร่ระบาดไม่นาน ก็พบว่า อเมริกาควรรีบเตรียมตัวรับมือกับไวรัสชนิดนี้อย่างเร่งด่วน
"นี่มัน Pandemic แล้ว!!" Hilleman กล่าว "และมันกำลังเดินทางมาที่นี่"
Maurice Hilleman และทีมนักวิจัยไวรัสไข้หวัดใหญ่ H2N2 ที่ Walter Reed Army Institute ปี 1957
Hilleman ติดต่อขอเชื้อไวรัสมาจากฮ่องกงเป็นการด่วนภายในเวลาเพียง 5 วัน หลังจากเชื้อเดินทางถึงห้องแลปในวอชิงตันดีซี เขาและทีมรีบทำการศึกษาค้นคว้า ก่อนจะพบว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H2N2 นี้ เป็นสายพันธุ์ที่มนุษยชาติไม่เคยรู้จักมาก่อน และจะไม่มีชาวอเมริกันคนใดมีภูมิต้านทานเลยสักคนเดียว
Hilleman รีบเตือนรัฐบาลให้รีบหามาตรการป้องกัน ก่อนที่ไวรัสจะเริ่มโจมตีตามแนวชายฝั่งอเมริกา โดยเฉพาะสัปดาห์แรกของเดือนกันยายนที่โรงเรียนจะเปิดเทอม
แต่ทว่า นับจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในปี 1918 อเมริกาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีการอุบัติของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่รุนแรงอีกครั้ง กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์จึงเพิกเฉยต่อคำเตือนของ Hilleman
"ผมวิ่งเต้นเป็นบ้าเป็นหลัง" Hilleman กล่าวไว้กับ Paul Offit กุมารแพทย์ผู้เขียนหนังสือชื่อ Vaccinated: One Man's Quest to Defeat the World's Deadliest Diseases
Vaccinated: One Man's Quest to Defeat the World's Deadliest Diseases Paperback – August 5, 2008
แม้จะถูกรัฐบาลเมินใส่ แต่ Hilleman รู้ดีว่าตนไม่ควรหยุดเพียงแค่นั้น เขาส่งตัวอย่างเชื้อไวรัสไปยังบริษัทผู้ผลิตยาขนาดใหญ่จำนวน 6 แห่ง บอกให้หาทางผลิตวัคซีนให้ได้ ซึ่งบริษัทเหล่านั้นก็น้อมรับ "คำสั่ง" ของ Hilleman โดยพร้อมเพรียง นับว่าโชคดีที่บริษัทผู้ผลิตยาและวัคซีนในขณะนั้นต่างให้ความเคารพนับถือ Hilleman อยู่ก่อนแล้ว
"จะเรียกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการอุตสาหกรรมยาและวัคซีนก็ได้" นักประวัติศาสตร์ George Dehner ตั้งข้อสังเกต
Asian flu ที่ Sweden
การระบาดใหญ่ระหว่างปี 1957-1958 พรากชีวิตคนทั่วโลกประมาณ 1.1 ล้านคน นับเป็นสถิติของการระบาดในแง่ของความเสียหาย-รุนแรง เป็นอันดับที่ 2 ของประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา (ณ ขณะนั้น) โดยอันดับหนึ่งคือการระบาดในปี 1918
มีชาวอเมริกันติดเชื้อไวรัสราว 20 ล้านคน เสียชีวิตราวๆ 116,000 คน นักวิจัยคาดการณ์ว่า อาจมีคนตายมากกว่านี้หากไม่มีการกระตุ้นให้เร่งผลิตวัคซีนโดย Hilleman
Sister M. Assumpta, St. Mary's Hospital administrator, sets a good example for other personnel as she receives the first shot of Asian flu vaccine given at the hospital by Dr. Robert C. Murphy, Sept. 4, 1957, in Quincy, Illinois. (AP Photo)
ในเวลาต่อมา Hilleman เข้าร่วมกับ Merck & Co. (ปัจจุบันเป็นบริษัทยายักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของโลก - เป็นเจ้าของสิทธิบัตรยารักษาโรคเอดส์ชนิดดื้อยา "Efavirenz" ซึ่งถูกทางการไทยประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2550 - Via wikipedia) เพื่อร่วมพัฒนาวัคซีนเป็นผลสำเร็จได้มากกว่า 40 โรค เช่น โรคหัด (measles), คางทูม (mumps), และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis)
Maurice Hilleman เสียชีวิตในปี 2005 ศิริรวมอายุได้ 85 ปี
โฆษณา