8 มิ.ย. 2020 เวลา 07:47 • ประวัติศาสตร์
ทองคำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังจบลง ที่ญี่ปุ่นกำลังจะยอมแพ้ เขาได้มีสมบัติก้อนสุดท้ายเก็บไว้ และสมบัติก้อนสุดท้ายเขาได้นำไปฝังไว้ที่ใดที่หนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีแม่น้ำ มีภูเขา และมีเส้นทางรถไฟที่ญี่ปุ่นสร้างไว้ตัดผ่าน ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น เขาบอกว่ามีอยู่ 10 กว่าถ้ำด้วยกันที่คาดว่าขุมทองนั้นน่าจะมีอยู่ในประเทศไทย และถ้ำที่คาดเดาว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดนั่นก็คือ "ถ้ำลิเจีย"
สำหรับเรื่องของสมบัติของชาวญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เขาคาดว่าน่าจะอยู่ในที่ใดสักที่หนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรีในประเทศไทย เราต้องย้อนความกลับไปเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยตามข้อมูลเขาได้บอกไว้ว่าใน ณ เวลาขณะนั้นไทยเราได้ร่วมจับมือเป็นสัมพันธมิตรกับทางญี่ปุ่น เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตอนนั้นญี่ปุ่นได้มีแนวคิดในการสร้างทางรถไฟที่จะลำเลียงอาวุธ รวมถึงกำลังพลผ่านมาที่ประเทศไทย เพื่อที่จะไปบุกพม่ากับอินเดียในตอนนั้น ทางญี่ปุ่นได้ทำการยืมเงินจำนวน 4 ล้านบาทของไทยในตอนนั้น และขอกำลังพลของประเทศไทยช่วยกันสร้างสะพานนั้นขึ้นมาให้สำเร็จ
ซึ่งสะพานนั้นนั่นก็คือสะพานทางรถไฟสายมรณะนั่นเอง โดยสะพานรถไฟสายมรณะเป็นสะพานรถไฟที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศญี่ปุ่นในยุคนั้น ที่เขาคาดการณ์กันว่าถ้าพวกเขาสามารถสร้างเสร็จได้ พวกเขาจะสามารถบุกไปตีประเทศต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และบุกเข้ายึดประเทศนั้นได้โดยที่เสียกำลังพลน้อยที่สุด และได้ผลประโยชน์มากที่สุด
แต่สะพานสายมรณะที่พูดถึงตรงนี้ เขากลับสร้างไม่เสร็จ เพราะเนื่องจากในเวลานั้นญี่ปุ่นอยู่ในช่วงที่กำลังพลใกล้จะหมดแล้ว พร้อมกับเสบียง รวมถึงกำลังพลต่างๆ ก็คืออยู่ในช่วงที่กำลังจะแพ้สงครามนั่นเอง
ทางผู้นำญี่ปุ่นเขาเลยตัดสินใจประกาศยกธงขาว ขอยอมแพ้ต่อสงครามครั้งนั้น แต่ก่อนที่เขาจะประกาศขอยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขารู้ว่า เขาจะต้องชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าเสียหายทางด้านสงคราม ค่าเสียหายทางด้านพลเรือน และจะต้องทำการจดสัญญาต่างๆที่ญี่ปุ่นจะต้องเสียเปรียบแน่นอน
ซึ่งในตอนนั้นญี่ปุ่นเขาได้มีสมบัติที่ยึดมาจากหลายๆประเทศอยู่กองสุดท้าย ตีมูลค่าน่าจะคาดว่าประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในยุคนั้น โดยเป็นทองคำแท่งทั้งหมด ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าญี่ปุ่นไม่ยอมเสียสมบัติกองนี้อย่างแน่นอน เขาเลยมีเรื่องเล่ากันว่า ทางผู้นำของญี่ปุ่นตัดสินใจนำสมบัติเหล่านั้นเข้ามาฝังอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งในพื้นที่ที่เส้นทางรถไฟสายมรณะนี้ตัดผ่าน ข้อมูลตรงนี้หลังจากที่ได้ไปค้นหาและรวบรวมมา ปรากฏว่าพื้นที่ต่างๆที่เขาคาดการณ์กันว่าน่าจะมีสมบัติของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 10 จุดด้วยกัน กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดกาญจนบุรีทั้งหมดเลย โดยข้อมูลตรงนี้เขาได้บอกไว้ว่า สมบัติของคนญี่ปุ่นเป็นทองคำที่มีน้ำหนักกว่า 20,000 กิโลกรัม และเป็นทองคำอัดแท่งทั้งหมดเลย และคนญี่ปุ่นเขาได้นำไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทำการโบกปูนไว้หนึ่งชั้น และทำการระเบิดถ้ำเพื่อให้หินถล่มลงมากลบพื้นที่ ไม่ให้คนสามารถเข้าไปได้
ซึ่งตรงนี้ทางทีมค้นหาและทีมวิจัยในตอนนั้นเขาก็คาดการณ์กันว่า ถ้ำที่คนญี่ปุ่นเอาไปฝังไว้น่าจะเป็นถ้ำที่มีแม่น้ำไหลผ่าน และถ้าตรงไหนมีแม่น้ำไหลผ่าน แล้วแม่น้ำนั้นมีส่วนประกอบของปูนขาวละลายอยู่ในน้ำ แสดงว่าสมบัติจะต้องอยู่ในถ้ำที่ใกล้กับแม่น้ำนั้นอย่างแน่นอน แต่ก็อย่างที่บอกไปว่านี่เป็นการคาดเดาเท่านั้น เพราะตั้งแต่อดีตในช่วงสงครามโลก จนถึงช่วงที่เขาพูดถึงกัน ก็ยังไม่เคยมีใครค้นพบทองคำแท่งเหล่านั้นเลย แต่อยู่ดีๆวันหนึ่ง ในปี 2535 ได้มีข่าวที่ทำให้ชาวไทยต้องตกตะลึงกันทั้งประเทศ เพราะข่าวนี้เป็นข่าวที่ได้มีชาวบ้านขุดค้นพบทองคำแท่งหนักกว่า 20กิโลกรัมได้ ที่อำเภอทองผาภูมิ ในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งตรงจุดนี้เลยทำให้คนเริ่มคิดแล้วว่า เรื่องตำนานสมบัติของคนญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจจะไม่ใช่นิยายหรือเรื่องเล่าปรัมปรา แต่อาจจะเป็นเรื่องจริง และอาจจะมีขุมทองมากกว่าที่ชาวบ้านเจอเพียงแท่งเดียวก็เป็นได้
1
และข้อมูลตรงนี้ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น ตามสำนักข่าวที่มีการจดบันทึกข้อมูลไว้ เขาได้บอกว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2538 ได้มีข่าวการขุดค้นพบรางรถไฟยาว 15 เมตร อยู่ลึกลงไปจากผิวดิน 6 เมตร ในพื้นที่ของบริเวณที่มีการขุดค้นพบทองของชาวบ้าน ซึ่งจากการขุดค้นพบครั้งนี้ เส้นทางรถไฟที่เขาขุดได้ชี้ไปยังถ้ำของถ้ำจันเดย์ เขาเลยคาดการณ์กันว่าถ้ำจันเดย์ในจังหวัดกาญจนบุรี อาจจะเป็นถ้ำที่มีขุมทองอยู่ก็เป็นได้
ซึ่งตรงนี้ถ้าใครลองไปหาข้อมูลดีๆจะรู้ว่า นี่เป็นวาระแห่งชาติที่ทำให้คนใหญ่คนโต ข้าราชการ รวมถึงรัฐมนตรีในยุคนั้นต้องมาดูพื้นที่และลงมือสั่งการขุดเจาะกันอย่างจริงจัง และทำให้คนไทยหลายๆคนหันมาสนใจข่าวนี้กันอย่างมาก แต่สุดท้ายผลที่ออกมา มันกลับน่าผิดหวังกว่าที่คิด เพราะหลังจากที่ได้มีการขุดเจาะไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าขุดไปลึกแล้วลึกอีกก็ไม่เจออะไร และหลังจากความผิดหวังครั้งนี้ได้ถูกตีแผ่เป็นข่าวใหญ่ไปเรื่อยๆ เรื่องของขุมทองสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของชาวญี่ปุ่นเริ่มถูกลืม และเลือนลางหายไปจากความสนใจของประชาชน
จนปี 2544 อยู่ดีๆได้มีข้าราชการชั้นสูงคนหนึ่ง ที่เขาอยู่ในทีมขุดเจาะในปี 2538 ได้ออกมาอ้างต่อสื่อว่า เขาได้เจอหลักฐานบางอย่างที่ยืนยันการมีอยู่ของสมบัติชาวญี่ปุ่นอย่างชัดเจน และระบุว่าขุมทองเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในถ้ำจันเดย์ แต่อยู่ในถ้ำที่อยู่บริเวณใกล้ๆกันนั่นก็คือถ้ำลิเจีย โดยถ้ำลิเจียที่พูดถึง เป็นหนึ่งในถ้ำที่ทางรถไฟสายมรณะตัดผ่าน และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ชาวญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาตั้งหลักกันอยู่ในบริเวณนั้นหลายรอบมาก ซึ่งในตอนนั้นเองถ้าใครจำได้ ประเทศไทยเราติดหนี้ IMF กว่า 500,000 ล้านบาท เลยทำให้คนใหญ่คนโตในยุคนั้นตัดสินใจส่งหนังสือยื่นเรื่องไปถึงนายกรัฐมนตรีว่า ขอให้การขุดเจาะสมบัติในครั้งนี้เป็นวาระแห่งชาติและขอให้นำรถแม็คโครเข้ามาขุดด้วย
หลังจากที่ได้มีการยื่นเรื่องไป ปรากฏว่าทางสำนักงานนายกรัฐมนตรีเขาก็ได้อนุมัติเรื่องนี้ แต่ในการขุดเจาะครั้งนี้ก็ยังมีปัญหาเหมือนเดิม เนื่องจากว่าได้มีหลายๆฝ่ายออกมาโต้แย้งและออกมาคัดค้านว่า การขุดเจาะครั้งนี้มันคือการทำลายสิ่งแวดล้อม และพื้นที่ตรงนี้มันคือพื้นที่ในอุทยานแห่งชาติ ถ้ามีการขุดเจาะ มีการทำลายถ้ำ หรือมีการปรับหน้าดิน อาจจะทำให้เกิดความเสียหายทางธรรมชาติ จึงเกิดการโต้เถียงกันอยู่ช่วงหนึ่ง และสุดท้ายได้บทสรุปว่าการขุดเจาะครั้งนี้จะให้เวลาในการขุดเจาะเพียงแค่ 30 วันเท่านั้น
หลังจากที่ได้มีการขุดเจาะไป ครั้งนี้มีความหวังมากกว่าครั้งแรก เพราะครั้งนี้หัวหน้าการขุดเจาะเขาอ้างว่า เขาได้มีการค้นพบขุมสมบัตินั้นแล้ว แต่ขุมสมบัติที่เขาพูดถึงนั้นไม่ใช่ทองคำ ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง แต่เป็นพันธบัตรทองคำ และพันธบัตรของสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่ามากกว่า 50,000 ล้านบาท และหลังจากที่มีการขุดเจอสมบัติชิ้นแรกก็ยิ่งทำให้คนไทยคิดว่าถ้าเราขุดลึกลงไปเรื่อยๆ เราอาจจะได้เจอทองคำแท่งอย่างที่ชาวบ้านเจอก็เป็นได้ จึงได้ทำการขุดต่อไปเรื่อยๆ แต่โครงการขุดตรงนี้ก็ต้องหยุดลง เนื่องจากว่าหลังจากที่ได้มีการขุดและเจาะไปเรื่อยๆ ทางทีมวิศวกรและทีมวิจัยทางธรณีวิทยาเขาคาดการณ์กันว่า ตอนนี้ทั้งหน้าดิน ทั้งถ้ำพร้อมที่จะถล่มลงมาอยู่ตลอดเวลา จึงไม่สามารถให้มีการขุดเจาะต่อได้ เพราะถ้าหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจนมีคนเสียชีวิต ทางกระทรวงที่ดูแลอุทยานแห่งชาติหรือทางธรรมชาติตรงนี้อยู่ก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด เขาเลยได้ทำการสั่งหยุดการขุดเจาะไว้แต่เพียงเท่านั้น แต่ใช่ว่าเราจะคว้าน้ำเหลวในการขุดค้นพบทองคำแท่ง เพราะว่าอย่างที่บอกไปคือเราได้ขุดพบพันธบัตร และพันธบัตรทองที่มีมูลค่ามากมาย
5
ซึ่งตรงนี้ในข้อมูลเขาบอกว่าประเทศไทยในตอนนั้นกำลังจะนำพันธบัตรเหล่านี้ไปขึ้นเงินกับทางธนาคารของสหรัฐ แต่ความหวังเหล่านั้นก็ต้องหมดลง เพราะพันธบัตรเหล่านั้นหลังจากที่มีการตรวจสอบ ปรากฏว่าพันธบัตรทั้งหมดเป็นของปลอม
และตรงนี้ได้มีบันทึกการให้การ และบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ว่า พันธบัตรของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น จะถูกออกโดยกระทรวงการคลังของสหรัฐเพียงเท่านั้น แต่พันธบัตรที่ค้นพบและพันธบัตรที่ถูกเจอเป็นพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารกลางของสหรัฐ ตรงนี้เลยได้ข้อสรุปว่าพันธบัตรทั้งหมดนั้นเป็นของปลอมทั้งหมด
และหลังจากที่ข่าวนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ทำให้คนไทยทั้งประเทศหมดหวังและคิดว่าเรื่องของขุมสมบัติทองคำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของชาวญี่ปุ่น น่าจะเป็นเพียงนิทานปรัมปรา เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่มีอยู่จริง แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนหมดหวัง เพราะยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาเชื่อว่าน่าจะมีขุมทองเหล่านั้นอยู่ และพวกเขาเหล่านี้อ้างว่า เขาได้รู้จักกับทหารที่ขนทองเหล่านั้น และยังรู้อีกว่าที่จริงแล้วทองไม่ได้ถูกฝังอยู่ในถ้ำ แต่ทองเหล่านั้นถูกฝังอยู่หน้าถ้ำ
1
จากการที่หาข้อมูลมาเขาบอกว่า คนญี่ปุ่นเขาฉลาดมาก ถ้าเอาทองไปฝังไว้ในถ้ำต่อให้กลบปูน ต่อให้ระเบิดถ้ำ ยังไงวันนึงก็ต้องมีคนมาเจออยู่แล้ว อย่างนั้นเขาเลือกที่จะขุดดินอยู่หน้าถ้ำ เพื่อที่จะสามารถบ่งบอกจุดได้อย่างชัดเจน และฝังทองเหล่านั้นไว้ไม่ดีกว่าหรอ และเขายังบอกอีกว่าคนญี่ปุ่นฉลาดกว่านั้นมากอีกถึง 2 ขั้น โดยความคิดของพวกเขา เขาจะทำมาร์คจุดกันลืมไว้นั่นก็คือเขาจะทำการขุดร่องน้ำจากแม่น้ำเหล่านั้น ให้น้ำไหลผ่านทองของพวกเขาไปโดยที่การฝังทองของเขา เขาจะทำการโบกปูนไว้ด้านบนก่อนที่จะนำดินกับหินกลบไว้ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง เพราะตรงนี้มีเหตุผลของมันอยู่นั่นก็คือ ถ้าเกิดว่าแม่น้ำหรือสายน้ำตรงนั้นไหลผ่านตรงที่มีการขุดหรือฝังทองไว้โดยที่มีปูนโบกอยู่ด้านบน สายน้ำเหล่านั้นจะวิ่งผ่านปูนจนทำให้ปูนถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ แม่น้ำตรงไหนที่มีส่วนผสมของปูนขาวไหลผ่านอยู่ ตรงพื้นที่บริเวณนั้นคือมาร์คจุดกันลืมที่มีทองคำฝังอยู่
ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างน่าสนใจมาก เพราะข้อมูลตรงนี้คล้ายๆกับข้อมูลส่วนแรกที่ได้มา ตรงนี้เลยทำให้คนกลุ่มหนึ่งยังมีความหวัง และยังเชื่อว่าขุมทองเหล่านั้นน่าจะมีอยู่จริง และไม่ได้เป็นเพียงนิยายปรัมปรา เพราะถ้าเกิดว่ามีชาวบ้านขุดค้นพบทองได้ แสดงว่ายังไงก็ต้องมีทองมากกว่านั้นอยู่ในบริเวณที่ไหนสักที่หนึ่ง ที่ทางสายรถไฟมรณะตัดผ่าน และนี่ก็คือข้อมูลเรื่องเล่าและตำนานทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องของขุมทองในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่นนั่นเอง
โฆษณา