9 มิ.ย. 2020 เวลา 02:50 • ประวัติศาสตร์
🕵🏻‍♂️เรื่องเล่าคดีดัง
คดีฆ่าตกรรมที่ทะเลสาบโบคอม
วัยรุ่น 4 คนชวนกันเข้าป่าตั้งแคมป์ริมทะเลสาบเสพอากาศบริสุทธิ์ ขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับไหล จู่ๆก็มีบุรุษลึกลับปรากฏกายขึ้นใช้มีดจ้วงแทงทะลุเต็นท์อย่างไม่นับ สังหารโหดวัยรุ่นรักธรรมชาติโดยไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุ
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 1960 วัยรุ่น 4 คน ประกอบไปด้วย เซปโป บอยส์แมน และนีลส์ กุสตาฟส์สัน วัย 18 ปี และสาวน้อยอายุ 15 ปีเท่ากันคือ ไมล่า บีจอร์กลันด์ และแอนจา มากิ ชักชวนกันมาตั้งแคมป์ริมทะเลสาบโบดอม ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ราว 22 กิโลเมตร
1
วันก่อนหน้านี้เซปโปเอ่ยปากขอยืมเต็นท์จากเพื่อนคนหนึ่ง พร้อมจัดเตรียมสุราและถุงยางอนามัยเพื่อไว้ใช้ตอนวันสุดสัปดาห์ หลังจากนั้นจึงชักชวนแฟนสาวและเพื่อนสนิทกับแฟนเขาไปตั้งแคมป์ริมทะเลสาบโบดอม
เซปโปและนีลส์ขี่มอเตอร์ไซค์คนละคันมายังตำแหน่งริมทะเลสาบโบดอมที่พวกเขาหมายตาเอาไว้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่เลือกตั้งแคมป์นั้นไม่เหมาะกับการกางเต็นท์ เพราะอยู่ใต้ต้นไม้และเป็นเนินลาด
อากาศในวันนั้นค่อนข้างหนาวเย็น พวกเขาจึงหมกตัวอยู่ในเต็นท์ อัดกันในพื้นที่แคบๆกว้างเพียง 1.4 เมตร โดยผู้ชายนอนกลาง ส่วนเด็กสาวนอนริม จนกระทั่งเวลาราว 22.30 น. พวกเขาจึงออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ก่อนที่จะพากันกลับเข้าไปนอนในเต็นท์อีกครั้ง
วันที่ 5 มิถุนายน 1960 พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าราวเวลา 03.00 น. ขณะที่วัยรุ่นทั้ง 4 คน ยังคงนอนสลบไสลอยู่ภายในเต็นท์ ช่วงเวลาระหว่าง 04.00-06.00 น. ของเช้าวันนั้น มีชายลึกลับปรากฏกายขึ้น เขาดึงมีดออกมาจ้วงแทงลงไปที่เต็นท์ผ้าใบอย่างไม่นับ ทำให้ 3 ใน 4 วัยรุ่นเสียชีวิตโดยทันที ขณะที่นีลส์ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ประมาณเวลา 06.00 น. นักดูนกวัยรุ่น 2 คนผ่านมาเห็นรถมอเตอร์ไซค์ 2 คันจอดพิงอยู่ใต้ต้นไม้ จึงเกิดความสงสัยเดินเข้ามาดูใกล้ๆ พลันก็เห็นชายผมบลอนด์คนหนึ่งกำลังเดินจากไปทางหลังเต็นท์บางทีเขาอาจจะไปล้างหน้าล้างตาที่ทะเลสาบหรือไปตักน้ำมาต้มกาแฟ ไมล่านอนทับเต็นท์เปลือยท่อนล่าง ข้างๆกันเป็นร่างของนีลส์ ขณะที่เซปโปและแอนจานอนเสียชีวิตอยู่ภายในเต็นท์ที่ล้มพับอยู่กับพื้น ทำให้นักดูนกทั้ง 2 คนมองไม่เห็น
นักดูนกคิดว่าหนุ่มสาว 2 คนนี้คงมานอนอาบแดดยามเช้า โดยไม่ทันสังเกตว่ามีคราบเลือดแปดเปื้อนอยู่บนผืนเต็นท์ผ้าใบ อาจเป็นเพราะเห็นไมล่านอนเปลือยท่อนล่าง จึงทำให้เด็กหนุ่ม 2 คนรีบเดินจากไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
เวลาประมาณ 11.00 น. ริสโต ไซเรน มาวิ่งออกกำลังกายริมทะเลสาบจนพบร่างผู้เคราะห์ร้าย เขาแจ้งเหตุให้ตำรวจได้ทราบ กว่าตำรวจจะเดินทางมาถึงก็เป็นเวลาเที่ยง ผู้เคราะห์ร้าย 3 คนเสียชีวิตแล้ว แต่นีลส์ยังคงมีลมหายใจแม้ว่ากระดูกใบหน้าจะยับเยิน
ไมล่ามีบาดแผลถูกกระหน่ำแทงที่ใบหน้านับไม่ถ้วนจนแพทย์เอ่ยปากว่ามากเกินพอที่จะทำให้เธอเสียชีวิต คนร้ายขโมยทรัพย์สินบางส่วนของผู้เคราะห์ร้ายไปจากเต็นท์ รวมถึงรองเท้าของนีลส์ ซึ่งคนร้ายสวมใส่ตอนที่หลบหนี
หลังจากนีลส์รู้สึกตัว เขาให้การว่าจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนวันเกิดเหตุ ตำรวจมืดแปดด้าน เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้คนร้ายก่อคดีร้ายแรงถึงขั้นลงมือสังหารเด็กวัยรุ่น 4 คนอย่างโหดเหี้ยม
จะว่าคนร้ายประสงค์ต่อทรัพย์ก็ดูจะทำเกินกว่าเหตุมากไปหน่อย ทรัพย์สินมีค่าที่เด็กวัยรุ่นนำติดตัวมามีเพียงนาฬิกาข้อมือกับเสื้อแจ๊กเกตหนังเท่านั้น ถ้าประสงค์ต่อทรัพย์จริงก็น่าจะขโมยมอเตอร์ไซค์ไปด้วย
วันที่ 6 มิถุนายน 1960 ฮานส์ แอสแมนน์ ชาวเยอรมันซึ่งมีบ้านพักอยู่ห่างจากทะเลสาบโบดอมเพียงแค่ 5 กม. ปรากฏตัวขึ้นที่โรงพยาบาลในกรุงเฮลซิงกิด้วยอาการลุกลี้ลุกลน และแกล้งทำเป็นสูญเสียความจำ ไม่สามารถตอบคำถามใดๆได้
เสื้อผ้าของเขามีรอยเปื้อนสีแดงคล้ายคราบเลือด แต่ฮานส์ผลุนผลันออกจากโรงพยาบาลไปก่อนที่แพทย์จะทำการวินิจฉัย แพทย์จึงแจ้งเรื่องกับตำรวจ หลังจากสืบค้นประวัติพบว่าฮานส์พัวพันกับคดีฆาตกรรมปริศนาในฟินแลนด์อย่างน้อย 5 คดี และเชื่อว่าเขาเป็นสายลับชาวเยอรมัน
อย่างไรก็ตาม เช้าวันที่ 5 มิถุนายน ฮานส์ปรากฏตัวในสถานที่อื่นที่ห่างออกไปจากทะเลสาบโบดอม จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นฆาตกรสังหารเด็กวัยรุ่น 4 คนริมทะเลสาบ ฮานส์ได้เขียนจดหมายลาตายระบุว่าเขาเป็นคนลงมือสังหารเด็กวัยรุ่น 4 คนเมื่อปี 1960 แต่ไม่มีเหตุผลอะไรที่สายลับระดับประเทศจะลงมือสังหารเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องทางโลกเท่าไรนัก
ฮานส์ไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่สารภาพว่าเป็นมือสังหารริมทะเลสาบโบดอม ก่อนหน้านี้ เพนต์ติ ซอยนิเนม ผู้ป่วยจิตเวชวัย 15 ปี รับสารภาพว่าเป็นมือสังหาร แต่คำให้การของเขาไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในที่เกิดเหตุ เพนต์ติผูกคอตายในปี 1969 ระหว่างถูกจองจำในคดีอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการฆาตกรรม
ปี 1972 วัลเดมาร์ กิลล์สตรอม เจ้าของตู้จำหน่ายสินค้าบริเวณทางเข้าทะเลสาบโบดอม ได้เขียนจดหมายรับสารภาพว่าเขาเป็นคนลงมือสังหารเด็ก 4 คนเมื่อปี 1960 เนื่องจากเขารังเกียจเด็กวัยรุ่นที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายในสถานที่พักผ่อนของชุมชน
หลังจากเขียนจดหมายสารภาพความผิด วัลเดมาร์กระโดดลงน้ำในทะเลสาบโบดอมจมน้ำเสียชีวิต แต่ตำรวจไม่พบหลักฐานใดๆเชื่อมโยง อีกทั้งภรรยาของเขายืนยันว่าวัลเดมาร์นอนอยู่ที่บ้านในเช้ามืดวันเกิดเหตุหลังจากการสืบสวนคว้าน้ำเหลวมานานกว่า 40 ปี ในที่สุดเมื่อปี 2004 ตำรวจก็สรุปสำนวนว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากนีลส์ กุสตาฟส์สัน หนึ่งเดียวในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
พยานคนหนึ่งให้การว่า นีลส์เมาแอ๋เดินมาที่แคมป์ของเธอในคืนก่อนเกิดเหตุและแสดงความก้าวร้าว อีกทั้งหลักฐานที่ตำรวจพบมีรอยเลือดของนีลส์เปรอะเปื้อนรองเท้าที่คนร้ายสวมใส่ และไม่พบดีเอ็นเอของบุคคลอื่น
อัยการพยายามชี้ให้เห็นว่านีลส์เกิดผิดใจอะไรบางอย่างกับแฟนสาว ทำให้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวคว้ามีดมาจ้วงแทงคนรอบข้าง โดยเฉพาะไมล่าที่ถูกกระหน่ำแทงอย่างไม่ยั้งจนแพทย์ถึงกับบอกว่าบาดแผลมากเกินกว่าที่จะทำให้ตายหลายเท่าตัว ซึ่งบ่งบอกว่าเขากำลังระบายความคลั่งลงไปที่แฟนสาวที่เป็นต้นเหตุ ส่วนบาดแผลที่นีลส์ได้รับเกิดจากการต่อสู้กับเซปโป
คำตัดสินมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2005 สรุปผลว่าเป็นการเชื่อได้ยากว่านีลส์เพียงคนเดียวจะสามารถสังหารเพื่อนทั้ง 3 คนได้ ทั้งนี้ ยังไม่นับถึงการที่มีพยานเห็นบุคคลที่สามในวันเกิดเหตุ และไม่มีแรงจูงใจที่นีลส์จะลงมือสังหารแฟนสาวและเพื่อนสนิท ปัจจุบันคดีสังหารโหดริมทะเลสาบโบดอมเป็นหนึ่งในคดีปริศนาตลอดกาลของประเทศฟินแลนด์
ที่มาข้อมูล http://www.lokwannee.com/web2013/?p=251357
โฆษณา