11 มิ.ย. 2020 เวลา 06:00 • กีฬา
ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ : ทำไม เฟเดอเรอร์ ถึงทิ้ง NIKE ที่อยู่ด้วยกันกว่า 20 ปี หันมาซบ UNIQLO?
ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจไม่น้อย หลังจากล่าสุดเมื่สัปดาห์ที่ผ่านมา นิตยสาร FORBES ขาประจำด้านการจัดอันดับเศรษฐีโลก ได้มีการประกาศรายชื่อนักกีฬาที่มีรายรับมากที่สุดประจำปี 2020 (เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2019 - มิถุนายน 2020) ออกมา และปรากฏว่าผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งไปครองก็คือ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นักเทนนิสอดีตมือวางอันดับ 1 ของโลกชาวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันรั้งอยู่ในอันดับ 4
1
ที่บอกว่าเป็นเรื่องประหลาดใจ นั่นก็เพราะถึงแม้ เฟเดอเรอร์ จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล การันตีด้วยแชมป์แกรนด์สแลมประเภทเดี่ยว 20 รายการ แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ในตอนนี้เขาอายุ 38 ปีแล้ว เข้าสู่ช่วงปลายอาชีพอย่างเต็มตัว อีกทั้งฟอร์มการเล่นของเขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดพีคเหมือนในอดีต
ดังนั้นการที่ชื่อของเขาอยู่ในอันดับที่สูงกว่ายอดนักฟุตบอลอย่าง ลิโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, หรือยอดนักบาสเกตบอลอย่าง เลบรอน เจมส์ ที่เป็นขาประจำผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันครองแชมป์มาตลอดในช่วง 10 ปีให้หลัง (เราคงต้องยกเว้นกรณีของ ฟลอยด์ เมย์เมทเธอร์ จูเนียร์ ที่จะขึ้นอันดับ 1 ทันทีหากปีนั้นมีไฟต์ขึ้นชกไว้สักคน) หลายคนจึงเกิดความสงสัยว่าอะไรคือสาเหตุของเรื่องราวนี้
1
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ เฟเดอเรอร์ ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์นักกีฬาจอมรวยในปี 2020 นั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้บรรดานักกีฬาทั่วโลกรายได้หดหายเนื่องจากการแข่งขันถูกยกเลิก ส่วน เฟเดอเรอร์ นั้นถึงแม้รายได้จากการแข่งขันจะหายไปเช่นกัน แต่เงินรายปีที่เขาได้รับจากการได้จรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นฑูตทางการค้า หรือ Brand Ambassador ให้กับ UNIQLO แบรนด์เสื้อผ้ายักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น และบอกมือลา Nike ที่อยู่ด้วยกันมากว่าสองทศวรรษ ไปในปี 2018 ที่ผ่านมานั้น ก็มากมายพอที่จะส่งเขาขึ้นมารับตำแหน่งแชมป์ในปีนี้ไปครอง
3
Photo : todosobretenis.com
แน่นอนว่าดีลดังกล่าวมีมูลค่ามหาศาล อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าจำนวนเงิน คือเรื่องราวเบื้องหลังของดีลนี้ ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจบอกลา Nike ที่อยู่ด้วยกันมากว่า 20 ปี และก้าวต่อไปของนักเทนนิสชาวสวิตเซอร์แลนด์คนนี้คืออะไร ติดตามได้ที่ Main Stand
ความผูกพัน 2 ทศวรรษ
โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ เทิร์นโปรเป็นนักเทนนิสระดับอาชีพในปี 1998 แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Nike นั้นเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้นเสียอีก ตั้งแต่สมัยที่ เฟเดอเรอร์ ยังเป็นนักเทนนิสระดับเยาวชนในปี 1994
นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงในเดือนมีนาคมปี 2018 ที่สัญญาฉบับสุดท้ายระหว่างเขากับ Nike หมดอายุลง เฟเดอเรอร์ ไม่เคยเปลี่ยนสปอนเซอร์เครื่องแต่งกายของเขาเลย เรียกได้ว่า Nike คือบ้านหลังสำคัญในชีวิตที่นักเทนนิสชาวสวิตเซอร์แลนด์คนนี้อาศัยมาอย่างยาวนาน โดยตามรายงานของ Financial Times เผยออกมาว่าตลอดระยะเวลา 24 ปี เฟเดอเรอร์ ได้เงินสนับสนุนจาก Nike มากถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,500 ล้านบาทเลยทีเดียว มากกว่านักเทนนิสคนไหนในประวัติศาสตร์
1
Photo : NIKE
ความผูกพันระหว่าง Nike กับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเงินเท่านั้น แต่มันเหนียวแน่นถึงขั้นที่ว่า เฟเดอเรอร์ มีแบรนด์ย่อยของตัวเองภายใต้โลโก้ "RF" (ย่อมาจาก Roger Federer) โดยมีทาง Nike เป็นฝ่ายจัดการบริหารให้
นอกจากโลโก้ RF แล้ว เฟเดอเรอร์ กับ Nike ยังร่วมกันสร้างสรรค์ NikeCourt Zoom รองเท้าเทนนิสที่โดดเด่นด้วยระบบ Dynamic Fit ผสานเข้ากับเทคโนโลยี Zoom Air เพื่อให้สัมผัสที่เบาพร้อมตอบสนองได้ดีบนคอร์ท
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง เฟเดอเรอร์ กับ Nike เกิดขึ้นในปี 2006 โดยหลังจากที่เขาสามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมบนคอร์ทหญ้า "วิมเบิลดัน" สมัยที่ 3 ของตัวเองได้สำเร็จ ทาง Nike ได้ออกแบบเสื้อแจ็คเก็ตที่ประดับด้วยลวดลายไม้เทนนิสสามอันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแชมป์วิมเบิลดัน 3 สมัยมามอบให้กับเขา
หลังจากนั้นในปี 2008 รวมถึง 2009 ที่ เฟดเดอเรอร์ คว้าแชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 4 และ 5 ให้กับตัวเองได้สำเร็จ ทาง Nike ก็ทำเหมือนเช่นเคย เพียงแต่มีการเพิ่มลวดลายแร็กเก็ตลงไปมากขึ้นตามจำนวนแชมป์ที่ได้
นอกจากนั้น Nike ยังเคยมอบเสื้อคาร์ดิแกนสุดพิเศษ มีเพียงตัวเดียวในโลก ด้านหลังมีสัญลักษณ์ RF ซึ่งเป็นฝีมือการออกแบบของ เมียร์ก้า ภรรยาของ เฟเดอเรอร์ เพื่อเป็นเกียรติกับให้กับยอดนักเทนนิสผู้นี้อีกด้วย
1
Photo : NIKE Store
จากเรื่องราวที่เล่ามาในข้างต้น น่าจะสะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าระหว่าง เฟเดอเรอร์ กับ Nike นั้นมีสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นต่อกันขนาดไหน ดังนั้นอะไรคือเหตุผลของการบอกลาบ้านหลังเก่าที่อาศัยอยู่มาอย่างยาวนาน ไปซบบ้านหลังใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนล่ะ?
3
จบ...เพื่อเริ่มต้นใหม่
หลังจากร่วมทางกันมา 24 ปี สัญญาฉบับล่าสุดระหว่าง เฟเดอเรอร์ กับ Nike ก็หมดลงในเดือนมีนาคม ปี 2018 โดยยังไม่มีการต่อสัญญากันแบบทันทีเหมือนทุกครั้งทีผ่านมา ส่งผลให้ เฟเดอเรอร์ อยู่ในสถานะฟรีเอเย่นต์ ไม่มีแบรนด์ไหนเป็นสปอนเซอร์เครื่องแต่งกาย นับตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงการแข่งขันวิมเบิลดันในเดือนมิถุนายน
ในช่วงที่เป็นฟรีเอเย่นต์ เฟเดอเรอร์ ก็ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าของ Nike ลงทำการแข่งขัน ดังนั้นจึงไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะโบกมือลาแบรนด์กีฬาจากโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกาแบรนด์นี้ โดยคาดการณ์กันว่าอาจจะมีปัญหาในข้อตกลงบางอย่างที่ไม่ลงตัวเท่านั้น
1
Photo : ABC News
อย่างไรก็ตามเมื่อการแข่งขันวิมเบิลดันปี 2018 เวียนมาบรรจบ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อ เฟเดอเรอร์ สวมใส่เสื้อผ้าจาก UNIQLO แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น ลงทำการแข่งขัน แทนที่จะเป็น Nike เหมือนที่ทุกคนคุ้นเคยจนเป็นภาพจำไปแล้ว
ก่อนที่ในเวลาไล่เลี่ยกันทุกอย่างก็กระจ่างเมื่อบัญชี Twitter อย่างเป็นทางการของ UNIQLO ได้ทำการโพสต์ข้อความว่า
1
"Uniqlo รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในฐานะทูตแบรนด์ระดับโลกคนใหม่ของเรา"
"เฟเดอเรอร์ เป็นหนึ่งในแชมเปี้ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ความเคารพของผมที่มีต่อเขาไม่ใช่แค่เรื่องกีฬา แต่มันเหนือไปกว่านั้น"
"เราแบ่งปันเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกของโลกด้วยกัน และผมหวังว่าเราจะนำคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดมาสู่ผู้คนจำนวนมาก จะช่วยให้ เฟเดอเรอร์ ยังคงเล่นเทนนิสต่อไป เชื่อมโยงเขากับสถานที่ใหม่ๆ สำรวจนวัตกรรมในหลายๆ ด้านรวมถึงเทคโนโลยีและการออกแบบร่วมกับเขา" ทาดาชิ ยานาอิ ผู้บริหารของ UNIQLO กล่าวเสริมในการให้สัมภาษณ์
หลังจากนั้น ตัวของ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ก็ออกมาแถลงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ณ โรงแรม Park Hyatt กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยเนื้อความสำคัญก็เป็นเรื่องเหตุผลที่เขาเข้าร่วมกับ UNIQLO การไม่ไปต่อกับ Nike และเป้าหมายต่อไปในชีวิต
Photo : Uniqlo LifeWear
"เราทุกคนรู้ดีว่าผมกำลังอยู่ในช่วงปลายอาชีพแล้ว ไม่ได้อยู่ในจุดเริ่มต้น วันหนึ่งผมต้องเกษียณจากเทนนิส แต่ชีวิตของผมนั้นไม่มีวันเกษียณ มันจะดำเนินต่อไป และคุณยานาอิเชื่อมั่นในตัวผมอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นวันที่ผมไม่ได้เล่นเทนนิสแล้วก็ตาม"
"การได้เป็น Brand Ambassador ของ UNIQLO นั้นจะทำให้ผมได้เดินทางไปยังที่ที่ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ไป ผมหลงรักเซี่ยงไฮ้และโตเกียว ผมตื่นเต้นมากที่ต่อไปนี้ผมจะมีโอกาสใช้เวลาในเมืองเหล่านี้มากยิ่งขึ้น"
"ผมชอบ UNIQLO ในแง่มุมที่ไม่ได้เป็นแบรนด์กีฬาเต็มตัว ซึ่งมันจะทำให้ผมได้รู้จักกับแฟนๆ กลุ่มใหม่มากขึ้นนอกเหนือจากแฟนเทนนิส มันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ นอกจากนั้นเสื้อผ้าของ UNIQLO สามารถระบายเหงื่อได้เป็นอย่างดีเมื่อต้องออกกำลังกลางแจ้ง มันไม่สนุกเลยถ้าในระหว่างการแข่งขันเสื้อผ้าเปียกไปด้วยเหงื่อ ทำให้โฟกัสกับการแข่งขันได้ไม่เต็มที่"
สิ่งที่ เฟเดอเรอร์ พูดนั้นสอดคล้องกับเทคโนโลยี Airism ของ UNIQLO ที่จะทำให้เสื้อผ้าระบายเหงื่อได้อย่างดีเยี่ยม อากาศถ่ายเท ซึ่งกำลังทำการตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวพอดี ส่วนเหตุผลเรื่องที่เขาปฏิเสธ Nike และเข้าร่วมกับ UNIQLO นั้น ถ้าวิเคราะห์สิ่งที่เขาพูดอย่างละเอียด รวมถึงการคาดการณ์ของสื่อหลายสำนักบอกตรงกันว่าน่าจะเป็นเรื่อง "การให้ใจ" ของแบรนด์จากญี่ปุ่นที่ซื้อใจยอดนักเทนนิสคนนี้ได้
1
Photo : ATP.com
สัญญาของ เฟเดอเรอร์ กับ UNIQLO นั้นมีระยะเวลา 10 ปี มูลค่าปีละ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งหมด 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท การมอบสัญญานี้ให้กับ เฟเดอเรอร์ ที่ในปี 2018 อยู่ในวัย 36 แล้วนั้น นับไปอีก 10 ปีก็ 46 ถึงตอนนั้น เฟเดอเรอร์ ก็คงไม่ได้โลดแล่นบนคอร์ทแล้ว แสดงให้เห็นว่า UNIQLO ไม่ได้มอง เฟเดอเรอร์ เป็นแค่นักเทนนิส แต่มองเป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้
1
ถึงปัจจุบัน เฟเดอเรอร์ จะเป็นบุคคลมีชื่อเสียง มีความสามารถ ร่ำรวยเงินทอง แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะยังเป็นแบบนั้นอยู่ สิ่งที่ UNIQLO มอบให้เขาคือความมั่นคง ด้วยการการันตีว่าอย่างน้อยในทศวรรษต่อจากนี้ เฟเดอเรอร์ จะมีเงินอย่างน้อย 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไหลเข้ามาในบัญชีทุกๆ ปี
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เป็นอย่างยิ่งว่าทำไม โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ถึงโบกลา Nike และหันมาซบ UNIQLO แทน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรองเท้านั้น เฟเดอเรอร์ ยังคงสวมใส่รองเท้าของ Nike มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจาก UNIQLO นั้นไม่มีการผลิตรองเท้าเทนนิส เช่นเดียวกับ เคอิ นิชิโคริ อีกหนึ่งนักเทนนิสที่เป็น Brand Ambassador ของ UNIQLO ที่ก็สวมรองเท้าของ Nike ลงแข่งเช่นกัน
Photo : NY Times
ทว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 ที่ผ่านมา เฟเดอเรอร์ ได้ทำการซื้อหุ้น และกลายเป็น Brand Ambassador ของ ON บริษัทรองเท้ากีฬาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ บ้านเกิดของเขา แต่ในตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนารองเท้าเทนนิสอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมา ON นั้นโดดเด่นเรื่องรองเท้าวิ่งเสียมากกว่า ดังนั้นถ้าการพัฒนาเสร็จสิ้นเมื่อไร ก็คงเป็นที่แน่นอนว่า เฟเดอเรอร์ จะเปลี่ยนมาใส่รองเท้าของ ON แทน
ปัญหาที่ต้องเผชิญและก้าวต่อไป
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ UNIQLO น่าจะใช้เป็นแรงจูงใจให้กับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ คือการที่นักเทนนิสซูเปอร์ตาร์ผู้นี้จะไม่ใช่แค่ Brand Ambassador เท่านั้น แต่เขายังมีบทบาทถึงขั้นมีส่วนร่วมในการออกแบบเครื่องแต่งกายอีกด้วย
"ผมยึดมั่นในเรื่องสไตล์บนคอร์ทมาโดยตลอด ผมต้องการที่จะสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายที่ดีที่สุดสำหรับนักเทนนิส ผมต้องการที่จะสร้างอะไรเจ๋งๆ ไปกับ UNIQLO" เฟเดอเรอร์ กล่าวกับ Forbes
เมื่อนำสิ่งที่ เฟเดอเรอร์ พูดประกอบกับบทสัมภาษณ์ที่หยิบยกมาข้างต้น ทำให้น่าจะพอเดาสิ่งที่อยู่ในใจของยอดนักเทนนิสคนนี้ออกว่าเขาไม่ได้มองแค่เรื่องของเทนนิสแล้ว แต่มองเป็นภาพกว้างถึงชีวิตโดยรวมหลังแขวนแร็กเก็ต ซึ่งตรงนี้ UNIQLO อาจจะตอบโจทย์เขาได้มากกว่า
ในส่วนเรื่องการแยกทางกับ Nike นั้นถึงแม้อาจจะไม่ใช่การแตกหัก แต่ก็มีปัญหาไม่ใช่น้อย โดยปัญหาสำคัญที่สุดคือเรื่องโลโก้ RF ซึ่งในช่วงแรกหลังการอำลาทาง Nike อ้างว่าสิทธิ์ในโลโก้ดังกล่าวอยู่กับพวกเขา
1
"ตอนนี้โลโก้ RF อยู่กับ Nike แต่สักวันมันจะต้องกลับมาหาผมอย่างแน่นอน"
"ผมหวังว่าเร็วๆ นี้ Nike จะผ่อนปรนกระบวนการต่างๆ เพื่อนำมันมาให้ผม มันคือสิ่งสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์เชื่อมโยงผมเข้ากับแฟนๆ ตัวย่อนั้นมันหมายถึงผม" เฟเดอเรอร์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ในการแข่งขันวิมเบิลดัน ปี 2018
ถึงแม้ เฟเดอเรอร์ จะแสดงเจตนารมณ์ออกไปอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า Nike ยังคงถือสิทธิ์ในโลโก้ดังกล่าว จนกระทั่งเวลาล่วงเลยจากปี 2018 เข้าสู่ต้นปี 2020 ความเปลี่ยนแปลงก็ได้เกิดขึ้น เมื่อทาง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ได้ค้นเจอเอกสารฉบับหนึ่ง
Photo : NY Times
เอกสารฉบับดังกล่าวระบุว่า เฟเดอเรอร์ ได้จัดตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Tenro AG ขึ้นมาในปี 2007 โดยจุดประสงค์ของบริษัทนี้คือการดูแลการซื้ออสังหาริมทรัพย์และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมดของ เฟเดอเรอร์ และแน่นอนมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าครอบคลุมถึงโลโก้ RF ด้วย
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏเช่นนี้ ข้อพิพาทดังกล่าวก็ยุติลงหลังจากที่ยืดเยื้อกินระยะเวลายาวนานกว่า 2 ปี และถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์การย้ายชายคาครั้งสำคัญจาก Nike สู่ UNIQLO ของ เฟเดอเรอร์ ด้วย
ซึ่งถ้าจะถามว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เล่าไปนี้สอนอะไรกับเรา ก็คงเป็นเรื่องของการเติบโตขึ้น ที่ถึงแม้จะเคยอยู่ในที่ที่ดีขนาดไหน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิตก็อาจจะมีที่ที่เหมาะสมกับเรามากกว่า
และเมื่อเวลานั้นมาถึงก็จงทำใจให้มั่น อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงโยกย้าย เพราะไม่แน่ว่าคำตอบสำคัญของชีวิตอาจจะรออยู่ในที่ตรงนั้นก็เป็นได้ ...
บทความโดย เพรียวพันธ์​ แสน​ลาวัณย์​
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา