12 มิ.ย. 2020 เวลา 13:29 • ท่องเที่ยว
ทำไมโรงแรมต้องมีระดับดาว?
(https://sadrahotel.ir)
“ระดับดาว” เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้วัดมาตรฐานของโรงแรมมานานแล้ว บรรดาผู้เข้าพักก็สามารถเลือกพักได้ตั้งแต่ระดับธรรมดาไปจนถึงระดับหรูหรา โดยใช้สัญลักษณ์ดาวนี้เป็นเกณฑ์การแบ่งระดับที่ทำให้เข้าใจตรงกัน
ทำไมถึงต้องมีระดับดาว?
ประเทศที่เริ่มใช้สัญลักษณ์รูปดาวเป็นครั้งแรก คือ ประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส ประเทศเหล่านี้บุกเบิกการทำธุรกิจที่พัก ทำให้หน่วยงานภาครัฐ มีมาตรการในการจัดระเบียบที่พัก เพื่อแยกประเภทตามมาตรฐานการบริการ หลังจากนั้น เมื่อประเทศอื่นทำธุรกิจที่พักเช่นเดียวกันก็ยังคงใช้สัญลักษณ์รูปดาว 1-5 ดวง เพื่อให้เห็นความแตกต่างของระดับการบริการได้อย่างชัดเจน
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าโรงแรมไหนมีระดับกี่ดาว หรือโรงแรมของคุณเอง ควรจะอยู่ระดับกี่ดาว?
ปัจจัยที่นำมาใช้พิจารณาตัดสินมาตรฐานโรงแรม
1. สภาพทางกายภาพ เช่น ทำเลที่ตั้ง สภาพแวดล้อม เป็นต้น
2. การก่อสร้าง เช่น โครงสร้างกายภาพของโรงแรม ระบบในโรงแรม การเลือกใช้วัสดุ และระบบความปลอดภัยของโรงแรม
3. สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้เข้าพัก เช่น ของใช้ต่างๆ ที่จัดให้ อุปกรณ์ตกแต่งห้องพัก
4. คุณภาพการบริการ และการรักษาคุณภาพ เช่น บุคลิกภาพของพนักงาน การบริการ ความสะอาด สุขอนามัย ชื่อเสียงของโรงแรม
5. การบำรุงรักษาโรงแรม
“สมาคมโรงแรมไทย“ (THA) และ “สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว“ (ATTA) ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดตั้ง “มูลนิธิพัฒนามาตรฐาน และบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” จัดตั้งเป็นองค์กรกลาง และได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยทางมูลนิธิจะเข้าตรวจสอบการจัดระเบียบโรงแรมไทยให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
สมาคมโรงแรมไทย (http://www.thaihotels.org/16679290/about)
สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (http://www.atta.or.th/logo/)
ซึ่งโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน “ดาว” จะมีอายุ 3 ปี และโรงแรมสามารถต่ออายุมาตรฐานดาวได้ โดยการเสียค่าธรรมเนียมรายปี
หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการตรวจพิจารณามาตรฐานดาวในระดับต่างๆ
⭐️ มาตรฐานโรงแรมระดับ 1 ดาว
โรงแรมจะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกทั่วไป เช่น ห้องพักต้องมีขนาดไม่เล็กกว่า 10 ตารางเมตร พร้อมเตียงขนาด 3 ฟุต โต๊ะเครื่องแป้ง ถังขยะ โต๊ะ เก้าอี้ ห้องน้ำต้องมีผ้าเช็ดตัว และกระดาษชำระไว้บริการ รวมไปถึงเรื่องความสะอาด และความปลอดภัยที่ต้องมีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
1
⭐️⭐️ มาตรฐานโรงแรมระดับ 2 ดาว
นอกเหนือจากสิ่งที่โรงแรมระดับ 1 ดาวมีแล้ว ห้องพักต้องมีขนาดไม่เล็กกว่า 14 ตารางเมตร พร้อมเตียงขนาด 3 ฟุต ภายในโรงแรมตกแต่งด้วยเฟอ์นิเจอร์ มีตาแมว มีโซ่คล้องประตู มีน้ำดื่ม โทรทัศน์ขนาด 14 นิ้วขึ้นไป และโทรศัพท์ติดต่อภายใน ห้องน้ำเป็นแบบชักโครก เป็นต้น
⭐️⭐️⭐️ มาตรฐานโรงแรมระดับ 3 ดาว
สิ่งที่เพิ่มขึ้นจากระดับ 2 ดาว ได้แก่ ขนาดห้องพักไม่เล็กกว่า 18 ตารางเมตร โทรทัศน์ 14 นิ้วพร้อมรีโมทคอนโทรล ภายในห้องประกอบด้วยตู้เสื้อผ้า ไฟหัวเตียง แก้วน้ำ ภายในห้องน้ำมีระบบน้ำร้อน-น้ำเย็น มีสบู่ หมวกอาบน้ำ ผ้าเช็ดหน้า และภายในโรงแรมประกอบด้วยรูมเซอร์วิส คอฟฟี่ช็อป มีห้องประชุมจัดเลี้ยง ห้องน้ำสาธารณะ และห้องน้ำคนพิการ
⭐️⭐️⭐️⭐️ มาตรฐานโรงแรมระดับ 4 ดาว
นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีในระดับ 3 ดาว แล้ว ห้องพักจะต้องกว้างกว่า 24 ตารางเมตร เตียงมีขนาดไม่น้อยกว่า 3.5 ฟุต โทรทัศน์ 20 นิ้วขึ้นไป มีช่องรายการมากกว่า 8 ช่อง มีตู้เย็น มินิบาร์ กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า พร้อมชา,กาแฟ มีเสื้อคลุมอาบน้ำ รองเท้าแตะ โทรศัพท์ที่สามารถโทรใน/ต่างประเทศได้โดยตรง ภายในห้องน้ำ มีทั้งครีมอาบน้ำ แชมพู ผ้าเช็ดมือ ชุด Sewing kit (อุปกรณ์เย็บผ้าพกพา) ไดร์เป่าผม ปลั๊กไฟสำหรับโกนหนวด และต้องมีการตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม นอกจากนี้ยังมีห้องอาหาร ห้องฟิตเนสที่มีเครื่องออกกำลังกายไม่ต่ำกว่า 5 ชนิด มีห้องอบไอน้ำ ห้องนวด (Spa) สระว่ายน้ำ ห้องประชุมใหญ่ และห้องประชุมย่อยอีกไม่น้อยกว่า 2 ห้อง มีระบบตรวจเช็ค และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยครบถ้วน
⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ มาตรฐานโรงแรมระดับ 5 ดาว
รวมทั้ง 4 ระดับดาวเข้าด้วยกัน แล้วเพิ่มการตกแต่งสถานที่ให้สวยงามทั้งภายใน และภายนอก สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การบริการน่าประทับใจ ห้องพักมีขนาดไม่เล็กกว่า 30 ตารางเมตร มีเตียงขนาดไม่น้อยกว่า 4 ฟุต โทรทัศน์ขนาด 20 นิ้วขึ้นไปพร้อมรีโมทคอนโทรล ซึ่งมีช่องรายการมากกว่า 12 ช่อง มีห้องน้ำขนาดใหญ่ มีเครื่องชั่งน้ำหนัก อุปกรณ์ของใช้ในห้องน้ำครบถ้วน มีห้องอบไอน้ำ อ่างจากุชชี่ ห้องนวด (Spa) สระว่ายน้ำ ห้องประชุมใหญ่ที่มีอุปกรณ์ครบถ้วน และห้องประชุมย่อยไม่ต่ำกว่า 4 ห้อง นอกจากนี้ยังต้องมีห้องฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายไม่น้อยกว่า 7 ชนิด และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย
มาตรฐานโรงแรมที่สูงกว่า 5 ดาว
ในความเป็นจริงแล้วโรงแรมมีมาตรฐานทั้งหมด 5 ดาว แต่โรงแรมหลายแห่งต้องการสร้างความแตกต่างขึ้น ทั้งในเชิงของการแข่งขัน และประกาศความยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการรองรับระดับที่มากกว่า 5 ดาว เพราะฉะนั้น โรงแรมที่ประกาศว่า 6 ดาวขึ้นไป จึงเป็นการเรียกตัวเองเช่นนั้น ซึ่งอาจจะทำให้ราคาสูงกว่าโรงแรม 5 ดาว ประมาณ 30% ได้ สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนน่าจะเป็นเรื่องของการบริการที่จะมีตำแหน่ง บัตเลอร์ (Butler) ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลส่วนตัวที่จะเข้าไปบริการตามความต้องการของลูกค้า บริการเช่นนี้จะทำให้ลูกค้ามีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น บางครั้งยังช่วยทำอาหารให้อีกด้วย
การนำมาตรฐาน “ระดับดาว” มาใช้ จะทำให้บรรดานักท่องเที่ยวรู้สึกมั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัย และความสะอาด อีกทั้งยังใช้เกณฑ์มาตรฐานระดับดาวมาอ้างอิงในการตั้งราคาได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการรักษามาตรฐานให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เพราะหากถูกสุ่มตรวจโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วพบว่ามาตรฐานโรงแรมลดลงก็มีสิทธิโดนยึดดาวไปได้ด้วยนะ
โฆษณา