11 มิ.ย. 2020 เวลา 07:46 • ปรัชญา
มีเรื่องน่าสนใจจะมาเล่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องของญาติผมเอง
เนื่องจากช่วงคุณยายผมป่วย ญาติๆมาเยี่ยมเยียนกันบ่อย ได้มีโอกาสคุยปรึกษาปัญหากัน
เคสนี้เป็นน้องผู้ชาย อายุ25ปี
ซึ่งตอนนี้ บวชไม่ยอมสึก!
เน้นว่า ไม่ ยอม สึก
เกิดอะไรขึ้นกับเขา
มาลองอ่านกัน
ย้อนไปวัยเด็ก ผมจะมีลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันหลายคน ซึ่งน้องคนนี้แอดมินก็สนิทกับเขาพอสมควร
ขอให้นามสมมติว่า "น้องเอ" แล้วกันนะครับ
ครอบครัวน้องเอ มีพ่อแม่ และพี่น้องรวมตัวเอง3คน โดยน้องเอเป็นพี่คนโต
แม่น้องเอ จะเป็นคนเจ้าระเบียบ มีแบบแผนในชีวิต และเป็นคนเรียนจบสูงในครอบครัว
ซึ่งในปกติครอบครัวคนจีนสมัยก่อน นิยมไม่ให้ลูกเรียนสูง เพราะอยากให้ออกมาช่วยพ่อแม่ค้าขาย ดูแลกิจการมากกว่า
ส่วนพ่อ เป็นพ่อค้าทั่วไป เนื่องจากเป็นลูกชายคนโตในบ้าน จึงเรียนจบแค่ม.4แล้วออกมาช่วยงานครอบครัวเหมือนครอบครัวจีนอื่นๆ
ในตอนนั้น น้องเออยู่ชั้นประถม พ่อแม่สังเกตว่า น้องเอเรียนวิชาคณิตศาสตร์ดีมาก และวิชาอื่นๆก็เรียนได้ดีพอสมควร
ด้วยความที่ว่า แม่น้องเอ เป็นคนเรียนสูง มีความรู้ เห็นว่าลูกเรียนดี เลยอยากผลักดันให้ลูกได้ดี
จึงคิดว่า จะติวให้ลูกทุกเย็นหลังเลิกเรียน เพื่อให้เก่งนำเพื่อน
หลังจากนั้น ภาพที่แอดได้เห็นทุกครั้งที่ไปบ้านน้องเอตอนเย็น จะเห็นแม่น้องเอนั่งจี้น้องอ่านหนังสือ ทำข้อสอบคณิตศาสตร์ยากๆ บางอันก็ยากเกินหลักสูตรที่เรียน
เคยลองสอนลูกหลานตัวเองดูมั้ยครับ?
ถ้าเคย คงรู้ว่า น้อยคน จะควบคุมอารมณ์ได้ดี เวลาสอนแล้วทำไม่ได้ดั่งใจ
มีว่าบ้าง มีตีมือบ้าง
เด็กเขาเครียดครับ เป็นใครก็เครียดจริงมั้ยครับ
หนักๆเข้า ก็ปริ๊นสูตรคูณ หรือสูตรคณิตศาสตร์ยากๆ แปะไว้ตามผนังบ้าน แม้แต่ในห้องน้ำ
ผมเป็นคนนอก เดินเข้าไปในบ้านเห็นสภาพอย่างนั้น
"นี่มันบ้าน หรือโรงเรียนกันแน่วะ?"
แต่ตอนนั้น น้องก็ทำผลงานได้ดีดั่งใจแม่
สอบติดโอลิมปิกวิชาการ และได้เข้าไปอยู่ในระดับต้นๆ (คุ้นๆว่าจะได้เหรียญเงินซะด้วยนะ)
ปลื้มใจทั้งพ่อและแม่ คิดว่า ถูกทางแล้ว ดันลูกไปทางนี้แหละ อนาคตไกลแน่นอน
วันจันทร์-ศุกร์ ติวหนักขึ้น บางครั้งเห็นหายเข้าห้องไปเลยแม่ลูก ถึง2-3ทุ่ม
เสาร์อาทิตย์ ไปเรียนพิเศษกับครูมหาลัยที่รู้จัก
เรียนแต่ วิชาคณิตศาสตร์ อย่างเดียว!
ทำไมถึงต้องเน้นแค่วิชานั้น?
ในตอนนั้น แม่น้องเอเห็นว่า รร.เตรียม มีโควต้าสำหรับนักเรียนดีเด่นในแต่ละวิชา
แม่น้องเอเลย เน้นให้ลูก เก่งสุดโต่งด้านเดียวไปเลย
ซึ่งผลก็ออกมาตามใจคิด น้องเอ ติดเตรียมอุดม ได้เข้าไปเรียนสมใจแม่
แม่ให้น้องเอพักหอพักใกล้ๆ มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง
ยกเว้น ทีวี และคอมพิวเตอร์
แม่บอกว่า วันธรรมดา ให้ตั้งใจเรียน เดี๋ยวเสาร์อาทิตย์ แม่จะพาไปเที่ยว ทีวีกับคอมไม่ต้องมีหรอก เดี๋ยวติดดูโน่นนี่ ไม่ตั้งใจเรียน
แรกๆ น้องเอก็ดูมีความสุขดี ญาติพี่น้องก็ชื่นชม ติดสถาบันดี รักดี ตั้งใจเรียน เก่งมากๆ เอาไปเป็นตัวอย่างให้ลูกๆหลานๆคนอื่น ต้องทำตามพี่เค้านะ จะได้ติดที่ดีๆเหมือนพี่เค้า ประมาณนี้
แต่ระหว่างใช้ชีวิตอยู่ที่หอ น้องเอสังเกตว่า พี่นิติที่หอชอบถามเวลาออกไปไหนมาไหนกับเพื่อน และ ชอบสังเกตน้องเอแปลกๆ จนดูเกินไป
จนกระทั่งน้องเอ แอบรู้ว่า แม่น้องเอให้นิติกรที่หอ สังเกตน้อง และแม่จะโทรมาถามนิติที่หอตลอดว่า น้องไปไหนมาบ้าง ทำอะไรบ้าง นอกลู่นอกทางมั้ย
น้องรู้ แต่ไม่กล้าถามแม่ กลัวแม่ไม่ไว้ใจตัวเอง เลยทำตัวเองให้ดี ไม่ให้แม่ห่วง
แต่ลึกๆก็อึดอัดมากๆ และรู้สึกว่า จริงๆแล้ว แม่ก็ไม่ไว้ใจตัวเอง
จนกระทั่ง เรียนจนถึงม.6 เทอมสุดท้าย วิ่งสอบต่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
แม่บอกน้องเอว่า ต้องเอาหมอหรือวิศวะไว้อันดับต้นๆนะ อย่างอื่นค่อยว่ากัน
น้องเอก็ทำตาม
แต่สุดท้าย ประกาศผล
น้องเอ สอบไม่ติด แม้แต่ที่เดียว!
เกิดอะไรขึ้น!?
เด็กโอลิมปิก ติดเตรียมเชียวนะ ทำไมสอบอะไรไม่ติดเลย
หลังประกาศผล เมื่อพ่อแม่รู้ ก็รุมว่าลูก ทำไมทุ่มเทให้ตั้งเยอะแต่ไม่รักดี ไม่ตั้งใจเรียน
"ทำไมทำตัวโหลยโท่ยอย่างนี้"
ประโยคนี้เป็นประโยคที่น้องเอ เล่าให้ผมฟังเองในวันหนึ่งหลังจากนั้น
เป็นประโยคที่มันเหมือนแผลในใจที่ทำลายความมั่นใจของน้องไปหมดสิ้น
แล้วชีวิตหลังจากนั้น น้องเอเป็นยังไงต่อไป
น้องก็รอสอบใหม่อีกปี เพราะแม่ต้องการให้น้องสอบติดหมอให้ได้
แต่สุดท้าย ในปีนั้น ก็ไม่ติดอีก
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เด็กเรียนเก่งขนาดนั้น
สุดท้าย แม่น้องเอมาปรึกษาผม เนื่องจากเห็นว่าสอบติดหมอเลยอยากให้ลองคุยกับน้องหน่อยว่ามีเคล็ดลับอะไร
ก็ไปคุยกับน้อง
สิ่งที่ได้จากการคุยกับน้องเอครั้งนั้น คือความผิดพลาดของแม่ที่ทำต่อน้องเอมาเป็นเวลานาน จนมันเรื้อรังในใจน้องเอไปแล้ว
น้องเอบอกว่า
"อึดอัดมาก ตั้งแต่เด็กแล้ว อะไรๆก็แม่ แม่มีแต่บอกอยากให้ทำโน่นทำนี่ ไม่เคยถามสักคำว่าอยากทำมั้ย"
"แล้วไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้เล่นคอม พอเวลาเรียน ก็คุยกับใครเขาไม่รู้เรื่อง เพื่อนก็ว่า ไปอยู่หลังเขาไหนมา ก็ไม่กล้าบอกว่า ไม่มีทีวี"
"นิติกรก็ถามจัง เป็นสปายให้แม่ แล้วแม่จะส่องดูไปไหน ไม่ไปเสพยาหรอกน่ะ ส่องอยู่นั่นแหละ อึดอัด"
"แล้วเพื่อนเขาเรียนเก่งๆทั้งนั้น ผมเก่งแต่วิชาเลข เข้าไปเรียนถึงได้รู้เลยว่า ผมแม่งโง่ เก่งแค่เลข วิชาอื่นโง่กว่าเด็กมอต้นอีก"
"ผมไม่อยากเป็นหมอ ไม่อยากเป็นวิศวะ ไม่เอาแล้วไม่อยากเรียนอะไรที่ต้องอ่านหนังสือแล้ว อยากไปเรียนนิเทศ อยากไปเป็นทหารให้รุ้แล้วรู้รอด"
นี่คือประโยคที่บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจน้องเอได้อย่างดี
น้องเออึดอัดมาตลอด แต่เพราะแม่เรียนสูง จึงเชื่อแม่
น้องเอได้ความมั่นใจมากๆ ตอนเรียนเก่ง สอบโอลิมปิก จากวิชาที่ตนเองเก่งสุดโต่งวิชาเดียว
ความมั่นใจ ค่อยๆถูกทำลาย เมื่อเข้าไปอยู่ในสังคมที่มีคนเก่งรอบด้าน หรือไม่เก่งสักด้าน แต่ก็พอใช้ได้ทุกด้าน เพราะน้องเก่งแค่วิชาเดียว!
ความไว้ใจตัวเอง และความไว้ใจแม่ ค่อยๆสั่นคลอน เมื่อรู้สึกได้ว่า แม่ไม่ไว้ใจตัวเอง
ความมั่นใจ และความเป็นตัวเองพังทลาย เมื่อสอบไม่ติด และพ่อแม่ด่าว่าย้ำแผลเดิม
ความรู้สึกที่มีต่อพ่อแม่ เปลี่ยนเป็นความรู้สึกโกรธ น้อยใจ และโทษแม่ที่ทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้
กลายเป็น สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด กลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายสำหรับเขา
อีกครอบครัวแล้ว ที่ต้องใช้คำว่า "บ้านที่ไม่ใช่บ้าน"
บ้าน เป็นที่ที่อึดอัดยิ่งกว่าโรงเรียน
พ่อแม่ เป็นคนที่น่าเกรงกลัวยิ่งกว่าครู
คนรอบตัว ที่ไม่ได้ว่าอะไร แต่ในใจน้องคิดไปเองแล้วว่า ต้องดูถูกเราอยู่แน่ๆ
พาลไม่อยากคุยกับแอดมินไปด้วย เพราะแค่คิดถึงคนที่ติดหมอ ก็เหมือนย้ำแผลในใจเขา ที่เขาทำไม่ได้
สุดท้าย น้องเอ สอบติดวิศวะ สาขาควบคุม
แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน ใช้ชีวิตเหลวแหลก กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวหญิง
ทำทุกอย่างที่พ่อแม่ห้ามไม่ให้ทำ!
สุดท้าย ถูกรีไทร์ เพราะสอบติดFแล้วไม่สนใจไปแก้
หลังถูกรีไทร์ แอดมินได้มีโอกาสคุยกับน้องอีกรอบ
น้องบอกว่า รู้สึกว่าทุกอย่าง เกิดขึ้น เพราะแม่ ไม่อยากทำอะไรให้แม่แล้ว เบื่อมันไปทุกอย่าง ไม่อยากกลับบ้าน อยากเที่ยวอยากให้ชีวิตให้คุ้ม แล้วก็ตายๆไปซะ
ได้ยินแล้วสะท้อนใจ เหมือนน้องจะอยู่ในจุดที่ตัวเองรู้สึกได้ว่า ตัวเองกำลังตกต่ำลงเรื่อย โดยไม่คิดจะดึงตัวเองขึ้นมา ปล่อยตัวเองลงไปเรื่อยๆลึกลงไปเรื่อยๆ
ผมแนะนำวิธีน้อง น้องก็บอกแค่ว่า ไม่ต้องแนะนำหรอกเฮีย ผมเลือกแล้ว ผมจะเป็นอย่างนี้แหละ สนุกกว่าตอนเป็นเด็กดีเยอะเลย
ถึงจุดที่กู่ไม่กลับแล้ว
เห้อ นี่สินะ คำว่า "พ่อแม่รังแกฉัน"
สุดท้าย ถึงจุดที่ตกต่ำสุดในชีวิต และมีเหตุการณ์ที่ทำให้คิดได้ แต่สายไปแล้ว น้องเอจึงขอบวชตลอดชีวิต(ไม่ขอเล่าถึง เหตุการณ์ไม่ค่อยตรงประเด็นของโพสต์นี้)
ถ้าย้อนไปได้
เปลี่ยนเป็น ให้ลูกเรียนรู้ทั่วไปตามที่เด็กคนอื่นเขารู้
ให้มีเวลาเล่นเหมือนเด็กคนอื่นเขาเล่น
สนับสนุนให้เขาใช้ชีวิตอย่างที่เขาอย่างเป็น
ไว้ใจเขา อย่างที่เขาเคยทำให้ไว้ใจ
ให้เรียน อย่างที่เขาอยากเรียน
ให้กำลังใจเขา ช่วยพยุงเขาเมื่อเขาล้ม
ผมคิดว่า ยังไงชีวิตต้องดีกว่านี้ ดีไม่ดี อาจได้ หมอ ข้าราชการ หรือนักธุรกิจดีๆในครอบครัวเพิ่มมาอีกคน
นี่เป็นตัวอย่างอีกตัวอย่างที่อยากให้เห็นว่า การใส่ใจดูแลของครอบครัว ถ้าตึงเกินไป อาจทำลายเด็กคนนึงได้มากกว่าครอบครัวที่ละเลยด้วยซ้ำ
ความไว้ใจในตัวเขา และทำให้เขาไว้ใจเรา ยิ่งสำคัญ
ไม่ใช่เด็กทุกคนจะคิด จะเข้าใจเจตนาที่ทำได้ทุกคน
สิ่งที่คิด ที่เห็น คือผลลัพธ์ที่เกิด
เมื่อเขาเห็นว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ดี รวมทั้งวิธีที่ผ่านมามันทำให้เขารู้สึกแย่
แค่นี้ เขาก็ไม่ไว้ใจคุณแล้ว
เข้าใจเขาเยอะๆ ปล่อยเขาใช้ชีวิตบ้าง
คอยปราม เวลาเขาออกนอกลู่นอกทางก็พอ
หมดยุคให้ลูกเดินตามฝันของเราแล้วครับ
เด็กทุกวันนี้ เขามีความฝันของตัวเอง
ขอบคุณครับ
🙂🙂🙂
#บ้านไม่ใช่บ้าน
โฆษณา