12 มิ.ย. 2020 เวลา 15:50 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
สามเหลี่ยม เบอร์มิวดา The Bermuda Triangle ไขปริศนา น่านน้ำอาถรรพ์ หรือแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ?
สามเหลี่ยม เบอร์มิวดา The Bermuda Triangle ไขปริศนา น่านน้ำอาถรรพ์ หรือแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ?
แมวหง่าว
29 เมษายน 2559 ( 09:17 )
258.3K
“สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา” (The Bermuda Triangle) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “สามเหลี่ยมปีศาจ” (the Devil’s Triangle) อาณาเขตลึกลับและโด่งดังเรื่องมนุษย์ต่างดาว ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า เหตุใดทุกสิ่งที่ผ่านไปบริเวณนั้นจึงได้หายสาบสูญไป เสมือนไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใดก็ตาม เรามาลองทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้กันก่อนครับ
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นอาณาเขตที่สมมติขึ้นมาในมหาสมุทรแอตแลนติก ถ้าลากเส้นจากจุดสามจุดเชื่อมต่อกัน ตั้งแต่จุดแรกที่มหาสมุทรแอตแลนติคภาคตะวันตก ไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา และเปอร์โตริโก เชื่อมต่อกันเป็นรูปสามเหลี่ยม เนื้อที่ประมาณ 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร ภายในบริเวณนี้เองที่มีการหายสาบสูญแบบผิดปกติเกิดขึ้นทั้งอากาศยาน และเรือเดินสมุทร ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณบริเวณแนวชายฝั่งด้านใต้ โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน เรือสำราญที่ผ่านพื้นที่นี้ก็มีมากเช่นกัน เรือเที่ยวเองก็มักจะมุ่งหน้าไปและกลับระหว่างฟลอริดากับแคริบเบียนอยู่เป็นปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่น ทั้งอากาศยานพาณิชย์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้
จุดกำเนิดของเหตุการณ์เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา ปรากฎรายงานการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาอย่างมากมาย เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทรจำนวนนับไม่ถ้วน ชีวิตมนุษย์อีกนับพัน ได้หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอยใดๆ ไม่มีซากศพ ไม่มีเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียพยายามร่วมกันค้นคว้าหาคำตอบ ก็ยังไม่สามารถบอกสาเหตุ และวิธีทางป้องกันจากภัยลึกลับที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้
การหายสาบสูญที่โด่งดังมากที่สุดจนทำให้ชาวอเมริกันต้องให้ความสนใจกับที่แห่งนี้ ก็คือ “การหายสาบสูญของฝูงบิน 19” ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐ ที่หายสาบสูญไปพร้อมกันทั้งฝูง ประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน พร้อมกับชีวิตนักบินและพลเรือนประจำเครื่องรวม 14 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945 นิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962 ตีพิมพ์ว่าก่อนการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า “เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว”
สอดคล้องกับลักษณะการหายสาบสูญของเครื่องบินส่วนใหญ่ ที่ส่วนมากก่อนจะขาดการติดต่อกับฐานปฏิบัติการ จะรายงานถึงสภาพทุกอย่างที่ปรกติ บรรยากาศ และทัศนวิสัย สงบแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุ หลังจากนั้นก็จะหายไปแบบฉับพลัน ไม่มีแม้แต่การส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ SOS บางครั้งที่ก่อนเครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวความผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการ ทุกรายงานแจ้งตรงกันว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องหมุนสะเปะสะปะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้ากลายเป็นสีเหลืองมองดูคล้ายหมอกหนาทึบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน ท้องทะเลที่เงียบสงบกลับปั่นป่วนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
นักวิทยาศาสตร์ นักสมุทรวิทยา และผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ต่างก็พยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น ส่วนมากทำได้เพียงแค่ตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยแบ่งได้หลายทฤษฏี (ขออนุญาตยกมาเฉพาะที่มีชื่อเสียง) ดังนี้ครับ
ทฤษฎีที่ 1 การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก เป็นไปได้ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูง ทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง เครื่องบินจึงดิ่งลงสู่มหาสมุทร ถูกดูดกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว
ทฤษฎีที่ 2 ประตูมิติ เป็นไปได้ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแรงโน้มถ่วง ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างที่เชื่อมต่อกับอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ เมื่อวัตถุหลุดผ่านเข้าไปอีกมิติแล้ว จะไม่สามารถกลับมาได้อีก
ทฤษฎีที่ 3 เทคโนโลยีชั้นสูง เป็นไปได้ว่าอาจมีมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้นต้องการขโมยเรือหรือเครื่องบิน และสิ่งมีชีวิตลงไปใต้มหาสมุทรเพื่อศึกษาหรือทดลองบางอย่าง ข้อสันนิษฐานนี้ก็สอดคล้องกับรายงานที่ว่า มีผู้พบเห็นจานบินลึกลับร่อนไปร่อนมาเหนือสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอยู่หลายครั้ง
ทฤษฎีที่ 4 กระแสน้ำวนมหาศาล นักประดาน้ำมักจะพบเห็น”ปล่องน้ำเงิน” อยู่ตามหุบผาใต้น้ำ และแหล่งหินปะการัง ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัส มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วยกระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี ปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง มีกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว
ทฤษฎีที่ 5 ก๊าซมีเธน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย รายงานว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีก๊าซมีเธนอยู่ใต้ท้องทะเลเป็นจำนวนมาก จนปะทุขึ้นเหนือท้องทะเล ซึ่งก๊าซมีเธนนี้ เมื่อขยายตัวเป็นวงกว้างแล้ว ไม่ว่าวัตถุใด ๆ เคลื่อนที่ผ่าน มันก็จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้จมลงสู่ห้วงทะเลลึกอย่างรวดเร็ว
shutterstock_174176810
แต่สุดท้าย ทุกทฤษฎีก็ยังไม่อาจให้ความกระจ่างชัดแก่เราได้ เนื่องจากยังไม่มีใครที่เดินทางไปพิสูจน์ได้ เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมาก ตั้งแต่ ฟลอริด้า-เปอร์โตริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ 4.4 แสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการค้นหาเพื่อพิสูจน์ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐและเอกชนต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของ “ดินแดนอาถรรพ์” แห่งนี้ได้
อ้างอิง : bermuda-triangle,wikipedia, thamwebsite
โฆษณา