13 มิ.ย. 2020 เวลา 06:42 • ประวัติศาสตร์
เรื่องไม่ลับ...ของการกำจัด”ขนลับ”ในแต่ละยุคสมัย
.
“ขน” ถือเป็นศัตรูโดยธรรมชาติของความสวยความงาม สาวๆส่วนใหญ่พร้อมจะสละเวลาเพื่อสู้รบปรบมือกำจัดเจ้าขนเหล่านี้ให้เกลี้ยงเกลาในทุกส่วน ไม่เว้นแม้แต่จุดซ่อนเร้น (ขนลับ) ด้วยอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะมีดโกน แว็กซ์ เลเซอร์ และอื่นๆ
แต่คุณรู้หรือไม่ ในยุคก่อนหน้าเรานับร้อยนับพันปี ก็มีการกำจัดขนลับด้วยเช่นกัน เราลองมาย้อนดูกันค่ะว่า สาวในยุคก่อนหน้าเรา เธอๆเหล่านี้มีวิธีกำจัดขนลับอย่างไรบ้าง
(ภาพจาก Getty Images)
ในยุคสมัยของอียิปต์โบราณ การมีขนลับนั้นถือเป็นเรื่องอนาจาร! เพราะฉะนั้นสาวๆอียิปต์จึงนิยมกำจัดให้โล่งเตียน ด้วยการใช้วัสดุอย่างหินภูเขาไฟ หินเหล็กไฟ หรืออุปกรณ์ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ในการเล็มขนส่วนเกินออก
มีการริเริ่มใช้แว็กซ์ที่ทำจากน้ำตาล นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังมีการใช้สารละลายมีฤทธิ์เป็นด่างสูงในการกำจัดขนลับ อันประกอบไปด้วย ยางไม้ น้ำดีแพะ พิษงูบดละเอียด และเลือดค้างคาว ซึ่งสูตรนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงจนข้ามสหัสวรรษ ใช้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงศตวรรษที่ 12-18 เลยทีเดียว
(ภาพจาก Billdobbinsart)
ส่วนในยุคกรีกโบราณถือคตินิยมความสมบูรณ์แบบ และความอ่อนเยาว์ ซึ่งความนิยมนี้หมายรวมไปถึงทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งจุดซ่อนเร้นด้วย สังเกตได้จากงานศิลปะต่างๆที่มักจะจำลองแบบผู้หญิงให้เกลี้ยงเกลาไปเสียทุกส่วน
ซึ่งหญิงสาวชาวกรีกยุคนั้นก็ยึดถือเทรนด์นี้อย่างจริงจัง เธอๆทั้งหลายจึงมักจะจัดการกับขนลับด้วยการถอน หรือบางครั้งถึงขั้นเผาขนตัวปัญหาทิ้งซะ!
(ภาพจาก Medievalist, Castlemaineart, Amazon)
ในยุคกลาง เทรนด์ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นการไว้ขนในที่ลับ อย่างไรก็ตามมีผู้หญิงบางส่วนที่กำจัดขนลับเพื่อเอาใจสามี และมีบางส่วนที่กำจัดขนด้วยเหตุผลด้านความสุขอนามัยมากกว่าความงาม (เพื่อกำจัดตัวโลน) สาวๆยุคกลางยังคงนิยมใช้สารละลายกำจัดขนสูตรคลาสสิคจากยุคอียิปต์โบราณ
แต่เนื่องจากเทรนด์คือการไว้ขนลับ ดังนั้นในปี 1450 จึงมีประดิษฐกรรมชวนฉงนอย่าง Merkins หรือวิกขนลับ เป็นสิ่งที่ใช้แทนขนเพื่อปกคลุมจุดซ่อนเร้น เพื่อปกป้องสาวๆยุคกลางจากความน่าอับอายที่ต้องกำจัดขนลับออกเนื่องจากมีตัวโลน หรือเป็นกามโรค
(ภาพจาก 50plusworld)
ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 มีสิ่งประดิษฐ์แปลกใหม่เกิดขึ้นมากมายเช่น มีดโกนขน ผงกำจัดขน เสื้อแขนกุด กระโปรงสั้น และบิกินี่ สิ่งเหล่านี้เมื่อปรากฎบนโฆษณาก็มักจะเคียงคู่กับหญิงสาวไร้ขนตามส่วนต่างๆอยู่เสมอ
ดังนั้นสาวๆในยุคนี้จึงกลับมาถือคติความงามไร้ขนอีกครั้ง แม้แต่จุดซ่อนเร้นก็นิยมโกนให้ “เรียบเนียน” เพื่อจะสามารถสวมใส่บิกินี่ได้อย่างสวยงาม
จากนั้นกระแสเริ่มแผ่วเบาลงในช่วง 1960-1970 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการตื่นตัวทางความคิดและเปิดกว้างในเรื่องเพศ ในช่วงนี้มองว่าการไว้ขนหรือผมยาวตามธรรมชาติเป็นการแสดงถึงเจตจำนงเสรี จึงสังเกตได้ว่าบุปผาชนคนฮิปปี้ในยุค 70 จะนิยมไว้ผม หนวด และเคราให้ยาวเป็นพิเศษ (รวมถึงขนลับด้วยเช่นกัน)
(ภาพจาก Solarey, Cosmopolitan)
ความงามไร้ขนกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งในช่วงทศวรรษที่ 1990 จากการเกิดขึ้นของร้านแว็กซ์ขน J. Sister Salon ในมหานครนิวยอร์ค (ก่อตั้งในปี 1987) โดยเจ็ดพี่น้องเชื้อสายบราซิล
แม้ในช่วงแรกๆการแว็กซ์จุดซ่อนเร้นจะเป็นที่นิยมเฉพาะกลุ่ม แต่เมื่อซีรี่ย์ชื่อดังแห่งยุคอย่าง Sex and the city ตอน Brazillian ออกอากาศ และคนดังอย่างกวินเน็ธ พัลโธรว์ เผยว่าการแว็กซ์จุดซ่อนเร้นของ J. Sister Salon ได้ “เปลี่ยนแปลงชีวิตฉันไปเลย!”
ความนิยมแว็กซ์จุดซ้อนเร้นก็พุ่งสูงขึ้นในหมู่คนทั่วไป และเทคนิคการแว็กซ์จุดซ่อนเร้นของร้านเป็นที่นิยมอย่างมาก จนเป็นที่มาของคำว่า Brazilian wax และวิธีนี้ก็ใช้กันอย่างแพร่หลายมาจนถึงทุกวันนี้
.
โฆษณา