..ตอนนั้นเพื่อนผู้หญิงเขามาชวนไปดูหนังด้วยกันสองต่อสอง เราจะไม่ไปเพราะกลัวว่าจะไปหลงชอบเขา ก็เลยป้องกันตัวเอง จะให้เป็นแค่เพื่อน ตอนเรียนอยู่ปี ๓ ระหว่าง ที่นั่งรอเรียนช่วงบ่าย ใต้ถุนตึก มีนักศึกษาเดินเข้ามากลุ่มหนึ่ง ตาไปมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใจบอกว่าสวย กิเลสก็เกิดขึ้น กิเลสคิดไม่เหมือนเค้า ถ้าคนนี้สวยเกิน ๓ เดือน เราจะจีบทำความรู้จัก พอเค้าเดินผ่านไปก็ไม่ได้ตามไปดูว่าอยู่คณะไหน เรียนห้องไหน ไม่สนใจ อีกอาทิตย์หนึ่งเห็นเขาเดินมาอีก ก็มองดู วันนี้ไม่สวยละ วันนี้เขาเปลี่ยนผมทรงใหม่ ความสวยหายไป
..พออีกครั้ง เจอคนใหม่อีก ก็คิดอีก ถ้าสวยเกิน ๓ เดือน จะจีบ คราวหลังเจออีก เอ๊ะ..วันนี้ไม่สวยแล้ว เพราะอะไร เขาเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เป็นอะไร เราเห็นเป็นยังงี้ ปรากฏว่าไม่มีใครผ่านกติกาเรา ไม่มีใครเกิน ๓ เดือน เราก็เลยไม่ได้จีบใคร ไม่ได้ทำความรู้จักใคร ทีนี้พอเรียนจบปี ๔ ตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ที่รัฐโคโรลาโด เมืองเดนเวอร์ ไปเรียนผังเมือง เพราะตอนนั้น ๓๒ ปีที่แล้ว การจราจรที่กรุงเทพฯเริ่มติดขัด เราก็อยากจะเรียนเรื่องการวางผังเมือง ระหว่างนั้นกิเลสก็เกิดขึ้นมาอีก ถ้าเราไปเรียนหนังสือ เรียนปริญญาโท – เอก ก็ดี จบมาแล้วแต่งงานเลยหรือเปล่า ไม่ใช่ กิเลสบอกว่า ถ้าอย่างงั้นต้องทำความรู้จัก ก็เลยนึกถึงเพื่อนที่นิสัยดีๆมาซัก ๓ คน เราไม่เอาหมดทั้ง ๓ คนหรอก เราจะเลือก
..มีกติกาในใจตนเองว่า ถ้าจะเลือกคู่ครอง จะต้องดูนาน ๓ ปี ๕ ปี คนๆนั้นจึงจะเป็นคู่ชีวิตของเรา เพราะเรามีสัจจะบารมี มีศีลบารมี ไม่หลอกลวงใคร ไม่ทำร้ายจิตใจใครเลือกแล้วต้องเป็นหนึ่งไม่มีสอง ให้เกียรติเขา เลือกผู้หญิง ๓ คนนั้นมา สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่ที่บ้านมีโทรศัพท์บ้าน ระหว่างที่จะเดินไปโทรศัพท์ ก็นึกถึงหน้าเขา พอหน้าเขาปรากฏ หนังตรงใบหน้าก็ลอกออก ลอกออก ลอกไป ลอกมา ไปห้อยอยู่ปลายคาง เหมือนกับจิ้งจกลอกคราบ เสร็จแล้ว น้ำเหลืองก็ไหลออกมาตามรูขุมขน บนใบหน้า เกิดสลดสังเวชมาก
..แต่กิเลสก็ยังแรง มันบอกว่า คนนี้เห็นแบบนี้แล้วไม่อยากได้ ก็ยังมีคนที่สอง พอใบหน้าผู้หญิงปรากฏออก แค่ขณะจิตเดียว หนังก็ลอก ปุบ ปุบ ปุบ น้ำเลือดก็ไหลพุ่งออก อาบใบหน้า จิตก็สลดสังเวชลง แต่กิเลสก็ยังบอกว่า คนนี้ไม่เอา เอาคนใหม่ ก็เลยเดินจะไปโทรศัพท์อีก นึกถึงหน้าผู้หญิงคนใหม่อีก หนังก็ลอกอีก ห้อยลงมาเป็นแผ่นบาง ๆ น้ำเลือดไหลอาบหน้า จิตสลดสังเวชมากเลย จิตมันรวมสลดสังเวชมาก มันบอกกับใจตนเองว่า ถ้าคนเป็นเช่นนี้ ฉันไม่ต้องการการครองเรือน ไม่ต้องการมีครอบครัว วาดฝันไว้ว่าจะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด แล้วทำงาน แล้วมีครอบครัว พอเห็นแบบนี้ปั๊บ แล้วตัดไปเลยว่าจะไม่มีครอบครัว แล้วจะทำอย่างไรดีกับชีวิตของเรา ก็เลยบอกว่า จะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด แล้วทำงาน ดูแลคุณพ่อ แต่ไม่มีครอบครัว แล้วทำไง ในระหว่างที่เรียนหนังสือก็จะรักษาศีล ๕ วันหยุดรักษาศีล ๘
..ถ้ากลับมาแล้วทำงานทำยังไง? ถ้าทำงานก็รักษาศีล ๕ วันหยุดรักษาศีล ๘ ไปตลอดชีวิต แล้วถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็จะบวช คิดแบบนั้น เรื่องผู้หญิงมี ๓ วาระ ครั้งแรกอายุ ๑๖-๑๗ ปี ครั้งที่ ๒ อยู่มหาวิทยาลัยหอการค้า ครั้งที่ ๓ เมื่อเรียนจบ ก็พิจารณาจบแล้วสุดท้ายตอบไม่มีครอบครัว ตอบแทนบุญคุณพ่อ ช่วงนั้นกำลังรอที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา
..พอดีคุณป้าเขาชวนไปถวายภัตตาหารพระ ถวายน้ำปานะตอนเย็นที่พักพระ เป็นน้าของท่านพระอาจารย์เปี๊ยก (พระอาจารย์ประสบไชย กันตสีโล วัดฟ้าคราม) ตอนเย็นนั่งคุยกัน ๓-๔ ทุ่ม คุยธรรมะกัน พอกลับมาบ้าน ๔-๕ ทุ่ม ไม่ง่วงนอน ไปเจอหนังสือธรรมะที่โยมพ่อวาง ไว้บนโต๊ะ ชื่อหนังสือ “พุทธธรรม” เราก็ไม่ง่วงนอน เราก็เลยเปิดหนังสือปั๊บ เปิดครั้งเดียวนะ เห็นเขาพิมพ์ไว้ว่า ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้า เป็นภาษาบาลี-ไทย ทั้งสองหน้าเล่มใหญ่ ๆ เราก็อ่านภาษาไทย เพราะอ่านภาษาบาลีไม่ถนัด อ่านภาษาไทย แต่สติมันตั้งมั่นนะ สติมันจดจ่อ อ่านไปทีละคำ ..“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงตื่นพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด สังขารทั้งหลายมีความเกิดขึ้น และมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา” พอมันอ่านจบ มันสลดสังเวช จิตมันสลดสังเวช แล้วมันพิจารณาว่า ชีวิตทุกคน มีเพียงแค่นี้เหรอ เกิดแล้วก็ตาย สังขารของเราทั้งหลายเนี่ย ที่สุดแล้วก็มีการแตกสลายเป็นธรรมดา เราก็อ่านไป อ่านจนจบเที่ยวสอง พออ่านเที่ยวที่สามจบ มันก็ว่าชีวิตมันมีเพียงแค่นี้เหรอ เกิดขึ้นมาแล้วแม้สังขารร่างกายเรานี้ ก็ไม่ล่วงพ้นความเสื่อม ความแก่ – ตาย ไปได้ จิตมันสลดสังเวชมาก มันก็เลยรู้..มันก็บอกใจเราเองว่า เราพร้อมแล้ว นับแต่นี้ไปไม่เกิน ๒ เดือน เราจะบวช เพราะว่าตอนนั้นติดปัญหา เรานัดหมอทำฟัน ยังไม่เรียบร้อย เพราะว่าเรากะว่า จะทำฟันก่อนไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่มาตัดสินใจออกบวชก่อน แล้วคุณป้าก็แนะนำว่า ถ้าจะบวชก็บวชกับหลวงพ่อชาก็แล้วกัน นี่ย่อๆนะ ก็บวชตอนอายุ ๒๒ ย่าง ๒๓ ปี
..พอตัดสินใจบวช จิตของเรามันแปลก จิตมันเหมือนเป็นหนึ่งไม่มีสอง มันไม่อาลัย อาวรณ์ ในโลก ก่อนจะบวชถามตนเองเพื่อความแน่ใจว่า แน่ใจแล้วเหรอ จะมาอยู่ในเพศผ้ากาสาวพัสตร์ กิเลสมันถามว่า
๑.ให้ทรัพย์สมบัติหมดทั้งโลก ยกให้เราแก่ผู้เดียว ห้ามการบวชเอาไหม ทดสอบใจของเรา เราว่าเราไม่เอา เราปรารถนาการบวช
๒.ให้มีอำนาจมากที่สุด สามารถทำอะไรก็ได้ ตามความพอใจ แต่ห้ามการบวช เราว่าเราไม่เอา
๓.ให้เลือกผู้หญิงได้ตามปรารถนา จะมีหนึ่งคน สิบคน ร้อยคนก็ได้ ให้เป็นของเราเพียงผู้เดียว แต่ห้ามบวช เราไม่เอา
อันนี้เราทุกคนต้องการลาภสักการะ อำนาจ ความสุขในกาม แต่เราไม่ปรารถนาเช่นนั้น
..เรามาอยู่กับหลวงพ่อชา เราไม่รู้จักองค์ท่าน ไม่เคยเห็นองค์ท่าน เราเชื่อในความมีเมตตา และมีปัญญาของท่าน เรามีความเชื่อว่าท่านเป็นพระปฏิบัติที่ดี ปฏิบัติชอบ เป็นครูบาอาจารย์ที่ดี อยู่ที่นั่น (วัดหนองป่าพง) ท่านก็สอน เราก็ต้องเป็นผู้ฉลาด ตาดู หูฟัง เราก็ศึกษาในหัวข้อวัตร – ปฏิบัติ ของวัดหนองป่าพง แล้วก็ศึกษาในเรื่องของธุดงควัตร เป็นเครื่องขูดเกลากิเลสให้เร่าร้อน เราก็น้อมนำมาประพฤติ ปฏิบัติของเรา ในส่วนตัวเราถูกจริตในธุดงควัตรข้อไหน เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่นั้นก็ ๒-๓ ฤดูแล้ง ไม่ได้จำพรรษา ตอนพรรษา ๓ หลวงพ่อชา ท่านให้จำพรรษาวัดหนองป่าพง แต่เราขอไม่อยู่ เพราะตอนนั้นพระหนองป่าพงประมาณ ๖๐-๗๐
..การปฏิบัติของเราเข้มงวด ตั้งแต่บวชเป็นปะขาว มีนิมิตอสุภกรรมฐานมาช่วยคุมจิต พอเราบวชนิสัยปัจจัยเก่าก็ให้ผล มาผลักดันให้เรามาอยู่ในเพศกาสาวพัสตร์ เพราะว่าเราปรารถนาทางโลก เรียนหนังสือให้สูง ทำงานมีครอบครัว แต่นิสัยปัจจัยเก่าผลักให้เรามาบวช เรามานึกย้อนหลัง ทำไมตอนเรียนมหาวิทยาลัยหอการค้า เราเห็นผู้หญิงวันนี้สวย วันนี้ไม่สวย เรามารู้ทีหลังว่า มันเป็นวิปัสสนาของเรา ที่เราเคยบำเพ็ญมาแต่อดีต เราเห็นความไม่เที่ยงของรูป จึงวางได้ และเคยบำเพ็ญอสุภกรรมฐานมา
..พอเราบวช อสุภกรรมฐานเข้ามาคุมจิตใจของเรา ไม่ลำบากในกาม เดินจงกรม อสุภกรรมฐานปรากฏ นั่งสมาธิก็สงบได้ง่าย เดินจงกรมก็สงบได้ง่าย ๆ ในพรรษาแรก ในอิริยาบถปกติ เราไม่เคยเกิดอารมณ์กามราคะทั่วไป แต่สิ่งที่เกิดอารมณ์ ขอโทษที..เวลาจะเกิดอารมณ์กามราคะ เกิดได้ตอนเราเผลอสติในอิริยาบถทั่วไป ที่เกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น แต่เรามีสัจจะ มีขันติ
..เราบอกกับใจตนเองว่า อารมณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นเกิน ๕ นาที เราฝึกแบบนั้น เราฝึกความแคล่วคล่องของสติเรา พอมันเกิดขึ้นมาในใจ เอาสติ-ปัญญา พิจารณาละออกไป ไม่เกิน ๕ นาที เราจะได้ มันก็เลยเป็นเรื่องง่ายสำหรับเรา ในการพิจารณาละความยินดีในกามทั้งหลาย เรามีสัจจะ มีศีล เราเห็นทุกอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เราจะบอกในใจเราว่า จะไม่ให้เกิดขึ้นในใจเราเกิน ๕ นาที เราตั้งเวลา เรากำหนดภาพให้เป็นอสุภะ เรากำหนด ส่วนมากไม่เกินขณะจิตมันก็ลง เราฝึกมาอย่างนั้น
..เมื่อเราตัดสินใจบวช ก็คิดว่าจะบวชอยู่ที่ป่า อยู่ที่ชนบท ตามเขา ตามถ้ำ ตามรอยของพระพุทธเจ้า เราไม่มีความรู้ในเรื่องพระปฏิบัติ พอดีรู้จักกับโยมคนหนึ่งที่เขามีจิตใจใฝ่ธรรมะ เขาเข้าวัดเป็นประจำ ก็เลยมีโอกาสคุยกับอุบาสิกาคนนั้น ป้าเขาถามว่าหนูจะบวชวัดไหน ตอบว่า จะบวชวัดป่า จะไม่อยู่ในเมือง แต่เราไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักครูบาอาจารย์ แต่เราตั้งความหวังไว้ว่าเราจะบวชตลอดชีวิต ป้าเขาแนะนำครูบาอาจารย์ให้เรา ๒ องค์ คือ หลวงพ่อชา กับหลวงตามหาบัว เราไม่รู้จักทั้งสองท่าน ก็เลยถามป้าท่านว่า
๑.วัดหลวงพ่อชากับหลวงตามหาบัวเป็นวัดป่าหรือเปล่า
๒.การบวชเป็นแบบเรียบง่ายหรือพิธีกรรมมาก
๓.มีการปลุกเสกพระเครื่อง มีการบูชา เครื่องรางของขลัง หรือว่าเป็นพุทธพาณิชย์
..ป้าเขาตอบว่าเป็นวัดป่า บวชแบบเรียบง่าย ไม่เป็นพุทธพาณิชย์ ก็ตรงกับที่เรามีกฎเกณฑ์ในการบวช ทีนี้ที่เราเลือกหลวงพ่อชา เพราะโยมพ่อของเราเป็นคนอุบลฯ ขณะที่จะบวชท่านไปทำธุรกิจอยู่ที่นั่น เราก็เลยคิดว่า ถ้าบวชอุดรธานี พ่อเราจะไปหาลำบาก แต่ถ้าอยู่อุบลราชธานี เขาก็สามารถเห็นหน้าเราให้คลายความคิดถึงบ้าง ก็เลยตัดสินใจไปพบหลวงพ่อชา ท่านเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑ ณ พระอุโบสถวัดหนองป่าพง โดยมีพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาทางพุทธศาสนาว่า “ถิรจิตฺโต” อันมีความหมายว่า “ผู้มีจิตอันตั้งมั่น มั่นคงดีแล้ว”
..พรรษาแรก หลวงพ่อชา ส่งไปจำพรรษาที่วัดบึงเขาหลวงกับหลวงพ่อจันทร์ ออกพรรษากลับมาอยู่วัดหนองป่าพง