14 มิ.ย. 2020 เวลา 02:29
#หลายคำถามกับหุ้นคุณค่า ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
1
คำถามที่คนมักจะสงสัยหรือถามผมอยู่เนือง ๆ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับหุ้นคุณค่า ดังนั้นผมจึงคิดว่าคงจะมีประโยชน์ที่จะนำมาเขียนสรุปไว้ในที่นี้ (ในหนังสือรวยหุ้นอย่างพอเพียง)
คำถาม: หุ้นคุณค่าหมายถึงหุ้นแบบไหน มีหลักเกณฑ์ตายตัวไหมว่าหุ้นแบบไหนถึงเรียกว่าหุ้นคุณค่า
คำตอบ: หุ้นคุณค่าหมายถึงหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของกิจการ ซึ่งมูลค่าพื้นฐานนี้จะต้องมีการคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบ นักลงทุนเน้นคุณค่าหรือ Value Investor ที่เชี่ยวชาญจะต้องคิดและคำนวณหามูลค่าพื้นฐานเป็น
โดยทางทฤษฎี มูลค่าพื้นฐานของกิจการนั้นจะคิดมาจากกระแสเงินสดรับที่เราจะได้รับจากกิจการในอนาคต แต่โดยทั่วไป เวลาพูดถึงหุ้นคุณค่า เรามักจะพิจารณาว่าหุ้นที่มีราคาถูกเป็นหุ้นคุณค่าโดยไม่ค่อยคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน
เช่น ถ้าบริษัทมีกำไร ก็ดูว่าหุ้นต้องมีค่า PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก ยิ่งต่ำมากก็ยิ่งดีเรียกว่าเป็นหุ้น Value มาก นอกจากค่า PE บางคนก็ดูค่า PB หรือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีด้วยโดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทขาดทุน นั่นก็คือ ยิ่งค่า PB ต่ำเทียบกับหุ้นในตลาดโดยเฉลี่ยก็ยิ่งถือว่าเป็นหุ้น Value มาก
สรุปง่าย ๆ หุ้นที่มีค่า PE และ/หรือ PB ต่ำมักจะถือว่าเป็นหุ้นคุณค่า
คำถาม: นักลงทุนในหุ้นคุณค่ามีลักษณะแบบไหน แตกต่างกับนักลงทุนที่เน้นหุ้นปันผลหรือไม่
คำตอบ: นักลงทุนหุ้นคุณค่ามักจะเน้นซื้อหุ้นที่มีราคาถูกเช่นซื้อหุ้นที่มีค่า PE และ/หรือ PB ต่ำถึงต่ำมาก ส่วนนักลงทุนที่เน้นหุ้นปันผลก็จะเน้นซื้อหุ้นที่ให้ปันผลสูงเมื่อเทียบกับราคาหุ้นหรือที่เรียกว่า Dividend Yield สูง
ในความเป็นจริง หุ้นที่มีค่า PE ต่ำจำนวนมากมักจะมี Dividend Yield สูงด้วย และนักลงทุนเน้นคุณค่าจำนวนมากก็ชอบหุ้นที่ให้ปันผลตอบแทนสูงเหมือนกัน
ดังนั้นอาจจะพูดได้ว่านักลงทุนหุ้นปันผลก็เป็นกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของนักลงทุนเน้นคุณค่า แต่นักลงทุนเน้นคุณค่าจำนวนมากก็ไม่ได้เน้นหุ้นที่ให้ปันผลสูง
คำถาม: ทำไม ดร. ถึงเลือกที่จะใช้วิธีลงทุนแบบ Value Investment ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นคุณค่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
คำตอบ: วิธีนี้เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดี ผลตอบแทนการลงทุนที่ผ่านมา 10 ปี สูงถึงประมาณ 38% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น แต่นั่นเป็นเพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่โอกาสการลงทุนสำหรับหุ้นคุณค่ามีมหาศาลและพอร์ตการลงทุนของผมยังเล็ก
อนาคตต่อจากนี้ผมคิดว่าผมตั้งเป้าหมายผลตอบแทนได้อย่างมากก็ 15% ต่อปี
คำถาม: การลงทุนในหุ้นคุณค่าต้องเป็นการลงทุนระยะยาวเท่านั้นใช่หรือไม่ ซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ๆ ได้หรือไม่
คำตอบ: ส่วนใหญ่คงต้องเป็นระยะยาว เพราะว่าราคาหุ้นมักจะต้องใช้เวลาที่จะปรับตัวให้เข้าหามูลค่าที่แท้จริงซึ่งมักจะมาจากผลประกอบการที่จะประกาศมาทุก ๆ ไตรมาศ
ดังนั้น การซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ๆ จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับหลักการของ Value Investment น่าจะเป็นเรื่องของการเก็งกำไรมากกว่า
https://www.set.or.th/
คำถาม: กฎของการจะเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่ามีอะไรบ้าง
คำตอบ: เยอะมาก แต่หัวใจสำคัญก็คือ เราจะต้องวิเคราะห์การลงทุนทุกครั้งเป็นอย่างดีโดยดูที่ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจและการเงินของบริษัท ไม่ใช่ดูจากการวิ่งขึ้นหรือลงของราคาหุ้น
คำถาม: ที่ผ่านมา ดร. นิเวศน์ เคยลงทุนแบบอื่นหรือไม่
คำตอบ: ก่อนลงทุนแบบ Value Investment ผมซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร จะเรียกว่าเป็นการลงทุนคงไม่ได้เพราะไม่เคยคิดที่จะถือยาว และใช้เงิน เสี่ยงโชค เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คำว่า การลงทุน ควรมีความหมายและจริงจังมากกว่านั้น
คำถาม: รวยหุ้นอย่างพอเพียง คืออะไร ใช่การลงทุนหุ้นคุณค่าหรือไม่
คำตอบ: หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงมี 3 ห่วง คือ ความมีเหตุผล ความพอประมาณ และมีภูมิคุ้มกัน และมี 2 เงื่อนไขคือ ต้องมีความรู้และคุณธรรม ทั้ง 3 ห่วง 2 เงื่อนไขนั้นตรงกับเรื่องของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า Value Investor ที่ดีนั้นจะต้องมีความรู้และยึดหลักธรรมมาภิบาลในการลงทุน เขาจะต้องใช้เหตุผลในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน มีความคาดหวังและใช้เงินลงทุนอย่างพอประมาณไม่โลภและไม่รับความเสี่ยงมากเกินไป เช่น ไม่ใช้เงินกู้ในการซื้อหุ้น
และสุดท้ายก็คือ ต้องมีภูมิคุ้มกันหรือเรียกว่าต้องมี Margin Of Safety เวลาตัดสินใจลงทุน
1
คำถาม: ลงทุนแบบเศรษฐกิจพอเพียงจะทำให้รวยได้หรือ
คำตอบ: คนจะรวยหรือไม่นั้น มีองค์ประกอบใหญ่ ๆ 4 เรื่อง หนึ่ง นิยามของความรวยของแต่ละคน สอง เงินเริ่มต้นและ/หรือเงินลงทุนที่ใส่เพิ่มลงไป สาม ระยะเวลาในการลงทุน และ สี่ ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ทำได้ ผมคิดว่าถ้าคุณเป็น Value Investor พันธุ์แท้ที่จริงจัง คุณ รวย ได้อย่างแน่นอน เหตุผลก็เพราะว่า คุณจะมีเงินเริ่มต้นและเพิ่มเติมมากกว่าเพราะคุณจะออมมากกว่า คุณจะลงทุนยาวนานกว่าและไม่ถอนการลงทุนในยามที่ตลาดกำลังตกต่ำ ผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยของคุณจะสูงกว่า และสุดท้ายก็คือ คุณจะรู้สึกว่าจำนวนเงินที่เรียกว่า รวย ของคุณนั้นมันจะต่ำกว่าคนอื่น
1
ดังนั้น โอกาสที่คุณจะรวยได้นั้นสูงมาก แต่ถ้าคุณไม่รวย คุณก็จะไม่จนหรอก
โฆษณา