สมัยนั้น หมอชีวก นั่งนิ่งอยู่ ไม่ไกลจากพระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าอชาตศัตรูจึงถามว่า “สหายชีวก ทำไมท่านจึงนิ่งอยู่เล่า?”
หมอชีวก ทูลตอบว่า “ขอเดชะ พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จำนวน 1250 รูป พระองค์มีพระกิตติศัพท์อันงาม พระองค์โปรดเสด็จเข้าไปเฝ้าพระ ผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เมื่อเสด็จเข้าไปเฝ้า พระทัยของพระองค์จะเบิกบานเลื่อมใส”
หลังจากนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูก็มีรับสั่งให้จัดเตรียมขบวนช้าง แล้วจึงเสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ไปยังสวนมะม่วงของหมอชีวก พอใกล้จะถึงสวนมะม่วง พระเจ้าอชาตศัตรูทรงหวาดระแวง จึงตรัสถามหมอชีวก ว่า “สหายชีวก ท่านไม่ได้หลอกเรา ไม่ได้ลวงเรา ไม่ได้นำเรามาให้ศัตรูดอกหรือ ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จำนวน 1250 รูปทำไมจึงไม่มีเสียงจาม เสียงกระแอมไอ หรือเสียงพูดคุยกันเลย”
หมอชีวก ทูลตอบว่า “พระองค์โปรดอย่าได้ทรงหวาดระแวงไปเลย
ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้หลอกพระองค์ ไม่ได้ลวงพระองค์ ไม่ได้นำพระองค์มาให้ศัตรูหรอก ขอเดชะ พระองค์โปรดเสด็จเข้าไปเถิด นั่นยังมีแสงประทีปตามอยู่ในหอนั่ง”
พอได้พบพระพุทธเจ้าแล้วพระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอวโรกาส ทูลถามปัญหาบางอย่างกะพระผู้มีพระภาค หากพระผู้มีพระภาคจะประทาน
พระวโรกาสเพื่อทรงตอบปัญหาของหม่อมฉัน”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เชิญถามตามพระประสงค์เถิด มหาบพิตร”
พระเจ้าอชาตศัตรู ได้ทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอาชีพที่อาศัยศิลปะเหล่านี้ คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลธนู พนักงานเชิญธงพนักงานจัดกระบวนทัพ พวกจัดส่งเสบียง ราชนิกุลผู้ทรงเป็นนายทหารระดับสูง หรืออาชีพที่อาศัยศิลปะอย่างอื่นทำนองนี้ คนเหล่านั้นได้รับ
ผลจากอาชีพที่อาศัยศิลปะที่เห็นประจักษ์มาเลี้ยงชีพในปัจจุบัน จึงบำรุงตนเอง บิดามารดา บุตรภรรยา มิตรสหายให้เป็นสุข บำเพ็ญทักษิณาในสมณพราหมณ์ซึ่งมีผลมากเป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดีมีสุขเป็นผลให้เกิดในสวรรค์ พระองค์จะทรงบัญญัติ ผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันได้เช่นนั้นบ้างหรือไม่?”
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “มหาบพิตร พระองค์ทรงจำได้หรือไม่ว่า ปัญหาข้อนี้ได้ตรัสถามสมณพราหมณ์อื่นมาบ้างแล้ว”
“หม่อมฉันจำได้ว่าเคยถามปัญหาข้อนี้กับสมณพราหมณเหล่าอื่นมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
“ท่านเหล่านั้นตอบว่าอย่างไร หากไม่หนักพระทัย เชิญพระองค์ตรัสเถิด”
ครูปูรณะ กัสสปะ ตอบว่า ‘มหาบพิตร เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ปล้น เป็นชู้ พูดเท็จ ฯลฯ ก็ไม่จัดว่าทำบาป ต่อให้ฆ่าสัตว์ทุกตัวบนโลกใบนี้ เขาย่อมไม่มีบาปที่เกิดจากกรรมนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นประจักษ์
แต่ครูปูรณะ กัสสปะ กลับตอบเรื่องที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ เปรียบเหมือนเขาถามเรื่องมะม่วงกลับตอบเรื่องขนุนสำปะลอ หรือเขาถามเรื่องขนุนสำปะลอกลับตอบเรื่องมะม่วง หม่อมฉันจึงคิดว่า คนระดับเราจะรุกรานสมณพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขตได้อย่างไรกัน หม่อมฉันจึงไม่ชื่นชม ไม่ตำหนิคำกล่าวของครูปูรณะ กัสสปะ ถึงไม่ชื่นชม ไม่ตำหนิ แต่ก็ไม่พอใจ และไม่เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจออกมา เมื่อไม่ยึดถือ ไม่ใส่ใจคำกล่าวนั้น ก็ได้ลุกจากที่นั่งจากไป
พอไปถาม ครูมักขลิ ด้วยคำถามเดียวกัน ก็ทรงตอบว่า “ความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายเศร้าหมองเอง ฯลฯ”
พอไปถาม ครูอชิตะ ด้วยคำถามเดียวกัน ก็ทรงตอบว่า “ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงก็ ไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วก็ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มีคุณ
ไปถามท่านอื่น ๆ ก็ยังให้คำตอบที่ยังไม่พอใจ ไม่ตรงคำถามเหมือนกัน จึงทูลถามพระพุทธเจ้านี้ด้วยคำถามเดียวกัน
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “บัญญัติได้ มหาบพิตร แต่ในเรื่องนี้
อาตมภาพขอย้อนถามพระองค์ก่อน โปรดตอบตามพอพระทัย พระองค์ทรงเข้าพระทัยเรื่องนี้ว่าอย่างไร คือ สมมติว่าพระองค์มีบุรุษทาสกรรมกร เฝ้ารับพระบัญชาตามรับสั่งต่อมา เขาโกนผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต แล้วพระองค์จะตรัสอย่างนี้เชียวหรือว่า เฮ้ย เจ้าคนนั้นจงมาหาข้า จงเป็นทาสกรรมกรที่ต้อง คอยรับคำสั่ง คอยเฝ้าสังเกตดูหน้าตามเดิม”
พระเจ้าอชาตศัตรู กราบทูลว่า “จะทำอย่างนั้นไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า ที่จริง หม่อมฉันเสียอีกควรจะไหว้ ลุกรับ เชื้อเชิญให้เขานั่ง บำรุงด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ ยารักษาโรค และจัดการรักษา ปกป้อง คุ้มครองเขาอย่างชอบธรรม”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “มหาบพิตร พระองค์ทรงเข้าพระทัยเรื่องนั้น
ว่าอย่างไร หากเมื่อเป็นอย่างนี้ ผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นประจักษ์มีอยู่หรือไม่”
พระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร กราบทูลว่า “เมื่อเป็นอย่างนี้ ผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นประจักษ์ก็มีอยู่แน่ พระพุทธเจ้าข้า”
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ยกตัวอย่าง “ผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นประจักษ์ได้ข้อที่ 2 และผลแห่งความเป็นสมณะที่ประณีตกว่าที่ผ่านมา
แล้วจึงแสดงธรรมเรื่อง ศีล เรื่อง ฌาน เรื่อง ญาณ หลังจากที่แสดงธรรมเสร็จแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรู ได้กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระผู้มีพระภาคชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระผู้มีพระภาคชัดเจนไพเราะยิ่งนัก พระผู้มีพระ
ภาคทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดโดยตั้งใจว่า คนมีตาดีจักเห็นรูปได้ หม่อมฉันนี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำหม่อมฉันว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความผิดได้ครอบงำหม่อมฉันผู้โง่เขลาเบาปัญญาซึ่งได้ปลงพระชนม์พระราชบิดาผู้ทรงธรรม เพราะต้องการความเป็นใหญ่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดทรงรับทราบความผิดของหม่อมฉันตามความเป็นจริงเถิด เพื่อจะได้สำรวมต่อไป”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “เจริญพร มหาบพิตร ความผิดได้ครอบงำ
พระองค์ผู้โง่เขลาเบาปัญญาซึ่งได้ปลงพระชนม์พระราชบิดาผู้ทรงธรรม เพราะต้องการความเป็นใหญ่ แต่พระองค์ทรงเห็นความผิดว่าเป็นความผิดแล้วทรงสารภาพตามความเป็นจริง ดังนั้น อาตมภาพขอรับทราบความผิดนั้นของพระองค์ก็ผู้ที่เห็นความผิดว่าเป็นความผิดแล้วสารภาพออกมาตามความเป็นจริง รับว่าจะสำรวมต่อไป วิธีนี้เป็นความเจริญในวินัยของพระอริยเจ้า”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ พระเจ้าอชาตศัตรู ได้
กราบทูลว่า “ถ้าอย่างนั้น บัดนี้ หม่อมฉันขอทูลลากลับ เพราะมีกิจมีหน้าที่ที่จะต้องทำอีกมาก พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ขอพระองค์จงทรงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิดมหาบพิตร”
พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วได้เสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงกราบพระผู้มีพระภาค ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จจากไป ครั้นเมื่อท้าวเธอเสด็จจากไปไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุมารับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระราชาองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว ถูกทำลายเสียแล้วหากพระองค์ไม่ปลงพระชนม์พระราชบิดาผู้ทรงธรรม ธรรมจักษุ อันไร้ธุลีคือกิเลส ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่พระองค์ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว”เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเวยยากรณภาษิตนี้จบลง ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมยินดีพุทธภาษิตนั้นแล