16 มิ.ย. 2020 เวลา 10:11 • ปรัชญา
ท้องฟ้าสีควันบุหรี่
เขียนขึ้นเพื่อย้ำเตือน
ฉันเขียนบันทึกเรื่องราวนี้ขึ้นระหว่างเดินทาง ฉันนั่งที่ริมซ้ายสุดด้านหลังคนขับ ฉันมองลอดผ่านสิ่งต่างๆ ผ่านกระจกใสภายใต้กรอบสี่เหลี่ยม รถเก่งคันสีขาววิ่งโลดแล่นอยู่บนท้องถนน ท้องฟ้าของวันนี้มืดครึ้ม ทั้งๆที่พายุฝนได้พัดผ่านไปตั้งแต่เมื่อคืน ฉันมองลอดผ่านกระจกใสอีกครั้งกวาดสายตามองไปที่ท้องฟ้า ฉันได้แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป แสงจากพระอาทิตย์จะลอดผ่าน เพื่อให้ท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้ง
แต่จวนเวลานี้แล้วฉันพบว่าท้องฟ้านั้นยังมืดครึ้มและไม่ทีท่า ว่าแสงจากพระอาทิตย์จะลอดผ่าน ทำให้ฉันกลับมาย้ำคิดว่า เวลาที่ฉันเจอปัญหาหรือมรสุมชีวิต ทุกคนเฝ้าบอกกับฉันว่า “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวฟ้าหลังก็จะสดใส” แต่ท้องฟ้าของฉันมันก็ยังไม่ทีท่าว่าจะสดใส
เหมือนกับท้องฟ้าที่ฉันพบเจอในวันนี้ ทั้งๆที่มันผ่านพายุฝนมาแล้วตั้งหลายชั่วโมง ฉันก็เหมือนกัน ฉันยังมองไม่เห็นถึงความสดใสของท้องฟ้าของฉัน ทั้งๆที่ระยะเวลามันผ่านไปแล้วครึ่งปี ฉันได้แต่หวังไว้ในใจสักวัน ถ้าวันหนึ่งฉันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ฉันจะได้พบกับแสงจากพระอาทิตย์ลอดผ่านมวลเมฆที่ปกคลุมหนาแน่น เพื่อให้ฉันจะพบกับทางเดินใหม่อีกครั้ง
ฉันเฝ้าภาวนามันมานานเหลือเกิน แต่วันนี้ท้องฟ้าในโลกของฉันมันไม่ได้เป็นอย่างใจหวัง ท้องฟ้าในโลกของฉันมันไม่ใช่สีฟ้าที่ให้ความรู้สึกถึงความสดใส มันไม่ใช่สีส้มนวลละอ่อนที่แสดงความอบอุ่นไปด้วยไอแห่งความรัก หรือมันไม่ได้เป็นสีฟ้าครามที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้เฝ้ามอง แต่ท้องฟ้าในโลกที่ฉันกำลังก้าวเดินมันคือสีควันบุหรี่ สีแห่งความขุนมัว มันคละคลุ้งระหว่างสีดำและสีขาว ฉันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสดใส ความอบอุ่นที่เต็มไปด้วยไอแห่งความรัก หรือแม้กระทั่งความรู้สึกถึงความเย็นสบาย ทุกครั้งที่ฉันแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉันทำได้แต่พูดคุยกับตัว "ถ้าท้องฟ้าที่ฉันอยู่ตอนนี้ มันเป็นสีดำทมิฬที่มืดสนิทฉันคงจะดีใจกว่านี้ อย่างน้อยเวลาที่ฉันแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้าฉันก็จะพบกับดวงดาวที่เปล่งประกายเป็นสีขาวระยิบระยับมีแสงสีเหลืองนวลเปล่งประกายออกจากพระจันทร์ ฉันคงจะมีความสุขมากกว่านี้" แต่ท้องฟ้าที่ฉันเผชิญมันไม่ได้เป็นดั่งใจหวัง เพราะสีควันบุหรี่นี้มันขุนมัวบดบังความสวยงามของท้องฟ้าที่ฉันเคยได้พบเจอ
คนๆหนึ่ง จะสามารถทนความเจ็บปวดได้สักกี่ครั้ง คนๆหนึ่งจะสามารถเผชิญความสูญเสียได้อีกกี่หน ฉันได้แต่เฝ้าถามตัวเองตลอดเวลา ถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้งฉันจะสามารถเผชิญกับมันได้อีกครั้งหรือไม่ แล้วถ้าเหตุการณ์ของวันนั้นมันได้ย้อนคืนกลับมา เป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่คนนั้น ใครอีกคนที่ต้องจากฉันไปโดยที่ไม่วันหวนกลับท้องฟ้าในโลกของฉัน มันยังจะเหมือนวันนี้อีกหรือไม่ มันยังจะเป็นสีแห่งความขุนมัว ที่คละคลุ้งไปด้วยสีขาวปนสีดำ สีที่มีแต่ขาวดำ
ทั้งชีวิตของฉันมีคนที่ฉันรักไม่มากหรอก แต่แล้วคนที่ฉันรัก หนึ่งในที่บอกว่าไม่มาก เขาได้เดินทางจากฉันไปไกลแสนไกล จากฉันไปโดยที่ไม่หวนกลับ ฉันจะโทษใครได้ล่ะ โทษเขาที่ดูแลสุขภาพไม่ดี โทษตัวเองที่เกิดช้าไป โทษฟ้าที่ทำให้เป็นแบบนี้ โทษชะตาชีวิต ฉันได้แต่นั่งทบทวนกับตัวเอง สองคู่สายมองออกไปนอกหน้าต่างสี่เหลี่ยมอีกครั้ง ไม่ว่าฉันจะโทษใคร ฉันก็ไม่สามารถทำให้เขาคนนั้นหวนคืนกลับมา เขาจากฉันไปแล้ว จากไปด้วย “โรคมะเร็งร้าย”
.
.
เขาทิ้งฉัน!!
ให้โลดแล่นอยู่บนทางเดิน ทางเดินที่ฉันเคยเดินทางมาพร้อมกับเขา ฉันยืนเคว้งอยู่อย่างนั้น ฉันมองไม่เห็นทางเดิน ฉันมองไม่เห็นหนทางที่จะก้าวต่อ ฉันทำได้แค่ภาวนาให้มีแสงสว่างจากพระอาทิตย์ลอดผ่านมายังทางเดินของฉัน
ฉันทบทวนความจำของฉัน ทบทวนว่าท้องฟ้าของฉันมันเริ่มแปรเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ท้องฟ้าที่เคยสดใสของฉันมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเริ่มตั้งแต่วันนั้น วันที่ท้องฟ้าของฉันเคยมองว่ามันสดใส ได้แปนเปลี่ยนเป็นสีเทาดำ มวลเมฆเริ่มก่อตัว เสียงอึกกะทึกครึ้กโครมของมวลเมฆส่งเสียงให้ฉันรับรู้ว่าพายุกับกำลังจะก่อตัว มันคือวันที่ฉันรับรู้ว่าเขาคนนั้น คนที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต "เป็นมะเร็ง" หลังจากวันนั้นพายุฝนก็ค่อยๆรินไหลลงมาในแต่ละเดือน จากที่ค่อยๆรินไหล ก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ พายุฝนที่กำลังตกในโลกของฉัน พายุฝนนี้มันเก่งเกินต้านเลยทีเดียวเพราะมันสามารถตกได้ทั้งข้างในหัวใจของฉัน และสามารถไปตกได้อีกที่นั้นคือ นัยน์ตาของฉัน แต่นั้นมันยังไม่ถึงที่สุดเพราะพายุฝนธรรมดา มันเริ่มก่อตัวเป็นพายุโซนร้อน พายุนั้นมันไม่ได้ค่อยๆรินไหลเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่เจ้าพายุลูกนี้มันพัดผ่านมาแค่ครั้งเดียวและแค่ลูกเดียวเท่านั้น แต่กลับพัดพาสิ่งที่ฉันรักมากที่สุดไปจากฉัน โดยที่เขาไม่มีหวนคืนกลับมาได้อีกครั้ง
จากวันนั้นฉันก็เฝ้าบอกกับตัวฉันเองว่า “เดี๋ยวฟ้าหลังฝน ท้องฟ้าของเราก็จะเริ่มสดใสอีกครั้ง” แต่แล้วมันกลับไม่ได้เป็นดั่งใจหวัง เพราะท้องฟ้าของฉัน ยังไม่มีแม้แต่แสงของพระอาทิตย์ลอดผ่าน ก้าวของฉันในแต่ละก้าวมันยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ภาพในความทรงจำวันวานยังผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ทุกๆครั้งที่ฉันหยิบจับสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ความทรงจำวันวานยังย้ำเตือนฉันเสมอ ทุกครั้งที่หยิบเครื่องมือสื่อสารเพื่อต่อสายไปยังปลายทาง แต่ทุกครั้งที่ฉันจับมัน ฉันมักจะพบกับความผิดหวัง เพราะฉันได้หลงลืมไปชั่วขณะ ว่าปลายทางที่ฉันต่อสายไป
เขาไม่ได้อยู่แล้ว
"ในเมื่อไม่มีแสงสว่างจากพระอาทิตย์ลอดผ่านเข้ามา อย่างน้อยฉันขอให้สายลมช่วยพัดพามวลเมฆที่ขุนมัวตรงนี้ พามันไปจากฉัน เพื่อฉันจะได้กลับมามองท้องฟ้าที่สดใสของฉันอีกครั้ง"
ด้วยรักและคิดถึง
"ชายคนนั้น"
พ่อ
“ไม่อยู่ในชีวิตแต่อยู่ในหัวใจ”
ฉันขอส่งผ่านความรู้สึกด้วยเพลงนี้
💫ดาวเพียงฟ้า💫
โฆษณา