17 มิ.ย. 2020 เวลา 03:55 • ไลฟ์สไตล์
กับดักชีวิตการทำงานอิสระ สิ่งที่ชาวฟรีแลนซ์อยากเล่าให้ฟัง
ใครๆ ก็อยากทำงานอิสระเป็นเจ้านายของตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่รักที่ชอบให้เป็นงานและอาชีพ ในฐานะที่เคยทำงานทั้งเป็นพนักงานประจำและได้ทำงานอิสระอย่างทุกวันนี้ ก็เลยอยากจะมาบอกข้อควรระวังที่ชาวฟรีแลนซ์ อยากบอกกับคนที่เป็นพนักงานประจำแล้วโหยหาชีวิตอิสระในการทำงานให้ได้รู้กันค่ะ ของแบบนี้คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า งั้นคนวงในจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
/canva
1. อิสระของการทำงาน
แน่นอนว่าการทำงานแบบฟรีแลนซ์นั้นมีอิสระในการทำงานมาก ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบกฎเกณฑ์ของที่ทำงาน หรือกฎตามใจฉันของเจ้านายให้ยุ่งยากลำบากใจ อยากจะตื่นนอนตอนไหน กินข้าวตอนไหน อาบน้ำหรือพักเล่นเกมยังไงก็ได้ ช่างเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดูอิสระเสรีมากๆ ที่เหล่ามนุษย์ออฟฟิศใฝ่ฝันหา แต่...! ในความสะดวกสบายนั้นก็มีกับดักอยู่ ตรงที่หากคุณเป็นคนเหลวไหล ทำงานตามใจตามอารมณ์แล้ว บอกได้เลยชีวิตจะเละตุ้มเป๊ะมาก เพราะปรับสมดุลของชีวิตได้ไม่ดีพอ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการแบ่งเวลาทำงาน เราอาจจะทำงานมากจนเกินไปซึ่งจะส่งผลเสียกับการพักผ่อนและสุขภาพร่างกาย
หรือบางทีก็เอาแต่พักผ่อนมากจนเกินไปที่ทำให้เสียการเสียงานได้เหมือนกัน และกว่าจะปรับชีวิตให้ลงตัวได้ บางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ต้องอาศัยการฝึกฝนและแบ่งเวลาให้เป็นด้วย จนบางทีก็ต้องสมมติออฟฟิศส่วนตัวขึ้นมา มีเลขามีหัวหน้าคอยเตือนเรื่องการทำงานของเราสักหน่อย จะไม่ได้เหลวไหลจนเกินไป แต่ถ้าคนทำงานอิสระเคร่งครัดกับตัวเองได้เหมือนกับทำงานประจำแล้ว ความสำเร็จก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมไปอีกหลายสเต็ปแล้วล่ะ
2. สุขภาพร่างกาย และจิตใจ
ในส่วนของสุขภาพจิตใจนั้นค่อนข้างจะเห็นได้ชัดจากการทำงานแบบ Work from home ของคนที่ทำงานประจำที่สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องทำงานจากที่บ้าน เนื่องจากวิกฤตไวรัส Covid19 ทำให้หลายๆ คนไม่เคยชิน ที่บ้านซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนนั้นจะต้องปรับมาเป็นสถานที่ทำงาน ทำให้รู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในส่วนของฟรีนั้นอาจจะเคยชินกับวิถีชีวิตในอยู่แล้ว แต่ความเครียดส่วนใหญ่จะเกิดจากคิดไอเดียเรื่องงานไม่ได้ หรือว่างานถูกตีกลับมาให้มีการแก้ไขอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงระยะเวลาการส่งงานที่กระชั้นชิดทำให้ต้องทุ่มพลังสุดตัวในการเร่งทำให้ทันส่ง Deadline เป็นต้น บางทีก็อาจจะเครียดถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว เพราะมัวแต่ทุ่มเทไปให้กับงาน
ส่วนในด้านของสุขภาพนั้นระยะแรกๆ อาจจะเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่เมื่อนานวันเข้าเราจะเริ่มรู้สึกได้ว่าการที่ขยับตัวน้อยเกินไป ขาดการออกกำลังกาย ใช้พลังงานโดยน้อยนั้นทำให้ร่างกายของเรารู้สึกอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย รวมถึงหากรับประทานอาหารอย่างที่ไม่เหมาะสม ก็จะยิ่งทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจนควบคุมยากได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วการแบ่งเวลาสำหรับการออกกำลังกายของชาวทำงานฟรีแลนซ์นั้นนับว่าสำคัญมาก และควรเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่ควรจะทำขาดไปไม่ได้เลยด้วย เพราะถ้าหากสุขภาพร่างกายไม่พร้อมแล้ว ก็จะไม่พร้อมสำหรับชีวิตการทำงานไปด้วยนะ
3. ติดความสบายมากเกินไป
การทำงานแบบอิสระนั้น จะทำให้เราใช้ชีวิตสวนทางกับคนที่ทำงานประจำ โดยเฉพาะเวลาการออกไปเที่ยวหรือพักผ่อน เราก็มักจะเลือกวันธรรมดากันเป็นส่วนใหญ่ ที่จะไม่ต้องเผชิญกับคนเยอะตามห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ รถก็ไม่ติดอีกด้วย แต่ว่าคนรอบข้างเรานั้นไม่ได้ทำงานอิสระเหมือนกับเราทุกๆ คนน่ะสิ ดังนั้นแล้วหากจะต้องมีการนัดหมายกับเพื่อนฝูง หรือคนรู้จักในวันหยุดแล้วล่ะก็ อาจจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด มีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ น้อยไปซะหมดเอาได้
4. ห่างไกลผู้คน
พบเจอคนน้อยลง มีเรื่องราวน้อยลง เข้าใจหัวอกคนออฟฟิศน้อยลงแล้วก็จะกลายไม่มีประเด็นอะไรให้พูดคุยได้มากไปอีก ถ้ามีการรวมตัวของเพื่อนเก่าแล้ว เรากลับกลายเป็นเหมือนคนนอก ไม่มีอะไรจะพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับที่ทำงานหรือการทำงานของตัวเองให้เขาฟังเลย เพราะการทำงานของพวกเราจะเรียบง่ายและธรรมดามาก จนบางทีก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นคนทำงานเขียนเนี่ย บางทีก็เขียนไปหมดจนขี้เกียจคุยหรือเล่าอะไรแล้วล่ะ อยากรู้ตามไปอ่านที่แชร์กันเองเถอะ
และข้อเสียที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เราจะขาดคอนเนคชั่นอื่นๆ ไปด้วย เพราะเวลาทำงานประจำ เราจะพบเจอกับผู้คนหลากหลายต่างที่มาที่ไปกัน แต่ละคนก็อาจจะมี connection ที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งในบางครั้งเราต้องการความช่วยเหลือด้านใดๆ ก็อาจจะถามหากับคนเหล่านั้นได้ หรือว่ามีการแนะนำบอกต่อให้เรารู้จักกับใครต่อใครได้อีก ถือเป็นเรื่องสุดเหนื่อยของชาวฟรีแลนซ์ที่จะต้องหา Connection และต่อสายป่านที่มีให้ได้ยาวที่สุดด้วย เพื่อความมั่นคงของหน้าที่การงาน และหนทางหารายได้อื่นๆ
5. ขาดความมั่นคงและสวัสดิการ
ถือเป็นข้อดีของคนที่ทำงานประจำ อยู่ในบริษัทที่ห่วงใยในชีวิตของพนักงานตัวเอง ก็ย่อมที่จะมอบสิทธิพิเศษสวัสดิการต่างๆ ให้กับพนักงานของตัวเอง อย่างน้อยบางที่ก็ให้ในส่วนของค่ารักษาพยาบาล ประกันชีวิต หรือแม้แต่สิ่งต่างๆ เพิ่มเติมอย่าง อาหาร เครื่องดื่ม ขนมนมเนย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คนที่ทำงานฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับจากผู้จ้างของตัวเองหรอก ยกเว้นจากโชคดีจริงๆ ลูกค้าใจดี หรือดีลกับบริษัทที่ใจป้ำก็อาจจะมีของตอบแทนอะไรเล็กๆ น้อยๆ มา ให้บ้าง คนทำงานอิสระเป็นเจ้านายตัวเองก็ต้องดูแลตัวเองกันไป ถ้ามีรายได้สูงๆ ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก แต่ถ้ารายได้น้อยนี่ แค่มีเหลือจ่ายค่าประกันตัวเองของประกันสังคมได้นี่ก็ถือว่าโอเคแล้วนะ
6. การทำสิ่งที่รักเป็นงาน ไม่ใช่ความสุขเสมอไป
ใครๆ ต่างก็บอกกันว่า ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่รักให้เป็นงานและอาชีพแล้ว เราจะมีความสุขกับมัน รู้สึกเหมือนไม่ได้ทำงานเลย แต่ในความเป็นจริงแล้วบางครั้งการที่ทำในสิ่งที่รักให้เป็นงานมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เราหมดสนุก ไม่มีความสุขได้เหมือนกัน ถ้ามีกำหนดเวลา มีเงื่อนไข มีความกดดันต่างๆ ตามมา ถ้าปรับตัวไม่ได้หรือทำตัวเป็นเครื่องจักรผลิตงานมากไป เราอาจจะไม่อยากทำสิ่งเหล่านั้นอีกเลยก็ได้
ชีวิตนี้ไม่มีการจำกัดหรอกค่ะ ว่าใครควรที่จะทำงานประจำหรือว่าใครควรจะทำงานอิสระ ทุกคนสามารถเป็นได้ทั้ง 2 แบบ แต่ลักษณะนิสัยการใช้ชีวิตแบบที่เราต้องการนี่แหละ ที่จะเป็นตัวที่ทำให้เราตัดสินใจว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนมากกว่ากัน เพราะแต่ละแบบก็มีข้อดีในตัวเองอยู่ สำหรับคนที่ชอบใช้ชีวิตแบบ Routine อยู่กับคนเยอะๆ งานประจำก็จะเหมาะกับคุณ
แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่อยากทำงานประจำ บางงานก็เหมือนขายเวลาชีวิตตัวเองแลกกับค่าตอบแทน วันๆ นึงได้แต่รอเวลาเลิกงาน ปล่อยเวลาไปผ่านไป ทั้งๆ ที่ยังมีอะไรที่อยากจะทำอีกมากมาย แต่ก็ถูกงานเบียดบังไปเสียหมด ดังนั้นแล้วตัวคุณเองนั่นแหละ ที่จะตอบตัวเองได้ดีที่สุด ว่าคุณควรที่จะทำงานประจำหรือว่าทำงานอิสระนะคะ คนเราสามารถเลือกทางเดินให้กับชีวิตของตัวเองได้เสมอค่ะ
บทความ โดย : Akine_noxx
ฝากติดตาม กดไลค์ กดแชร์ คอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา