16 มิ.ย. 2020 เวลา 20:55 • ประวัติศาสตร์
สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากจะเล่าเรื่องการปฏิวัติวัฒนธรรมจีนให้ทุกคนฟัง เพราะมันมีความคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์บ้านเราอย่างน่าเหลือเชื่อ
การปฏิวัติวัฒนธรรมจีน หรือ Cultural Revolution หรือในภาษาจีนเราเรียกกันว่า 文化大革命 (Wén Huà Dà Gé Mìng) เรียกสั้นๆว่า 文革 คือการปฎิวัติล้มล้างความเชื่อ Brainwashing และเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคลที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1966-1976 เป็นเวลา10ปี เป็น10 ปีแห่งความเลวร้าย เป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่จีนไม่อยากจำ เป็นการปฎิวัติที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์จีนเคยมีมา ไม่ใช่เหตุการณ์ทหารปฎิวัติรัฐบาลพลเรือนแต่อย่างไร
ถ้าถามคนจีนรุ่นใหม่ว่ารักผู้นำคนไหนมากที่สุด เราเชื่อว่า 90% ตอบว่าเติ้งเสี่ยวผิง 10%อาจจะตอบว่าไม่รักใครเลย ส่วนเหมาเจ๋อตุงนั้นมีทั้งคนเกลียดและคนไม่เกลียด คนจีนให้ความเคารพในฐานะผู้ก่อตั้งประเทศ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เมื่อจีนกลายเป็นประเทศทุนนิยมแทบจะ100%แล้วนั้น เกิดการตั้งคำถามขึ้นอย่างมากมายว่าการบริหารประเทศแบบเหมาเจ๋อตุงนั้นถูกต้องหรือไม่ การล้มล้างวัฒนธรรมที่มีมายาวนานกว่า1000ปี (เช่นวัฒนธรรมการเผากระดาษ หรือล้มล้างศาสนา ความเชื่อ เป็นต้น) จนไม่เหลือวัฒนธรรมอะไรเลยในปัจจุบันนั้นกับระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมที่ทุกคน “จน” เท่าเทียมกันนั้นถูกต้องแล้วหรือ?
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์โดยมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวคือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน (Communist Party of China) หรือ 中国共产党 มีFounders หลายคนแต่ที่เด่นๆและมีบทบาทสำคัญคือเหมาเจ๋อตุง(毛泽东) และนายกรัฐมนตรีโจวเอินหลาย(周恩来)อุดมการณ์เดียวของพรรคคอมมิวนิสต์คือทุกคนต้องเท่าเทียมกัน เป็นระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ไม่มีคนรวย ไม่มีชนชั้นวรรณณะ ไม่มีใครมีทรัพย์สินส่วนตัวทุกอย่างเป็นของรัฐ กำไรดอกผลที่ทำได้ทั้งหมดต้องตกเป็นของรัฐและรัฐจะเป็นผู้จัดสรรให้ แม้ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจของจีนจะเป็นแบบทุนนิยมแล้วแต่ว่าประชาชนก็ยังไม่สามารถถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ได้
พูดง่ายๆคือระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นขั้วตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย และระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมก็เป็นขั้วตรงข้ามกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ประเทศจีนในปัจจุบันปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ แต่มีระบบเศรษฐกิจเป็นทุนนิยม
ประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตง ประกาศเปิดประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนที่จตุรัสเทียนอันเหมิน วันที่ 1 ตุลาคม 1949
เหมาเจ๋อตุงก่อตั้งประเทศสาธาณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 แต่การปฎิวัติวัฒนธรรมเกิดขึ้นในปี1966 หลังการเปิดประเทศแล้ว17ปี โดยผู้เริ่มต้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากประธานเหมาเจ๋อตุงคนเดิมนั้นเอง เหมาเริ่มรู้สึกเกิดความกลัวว่าประชาชนอาจจะไปรับความคิดแบบทุนนิยมเข้ามา อาจทำให้ความเชื่อและความศรัทธาในระบอบคอมมิวนิสต์เจือจางลงไปได้ จึงเกิดการชำระล้างครั้งใหญ่ เกิดเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรม จุดประสงค์ของการปฏิวัติคือต้องหาพวกทรยศชาติให้เจอ ต้องแยกพวกที่จงรักภักดีกับอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ออกจากพวกที่ฝักใฝ่ทุนนิยมให้ได้ (🙂🙂🙂)
แล้วใครกันล่ะที่จะเป็นคนตัดสินว่าใครจงรักภักดี ใครทรยศชาติบ้านเมือง ใครเป็นคนดี ใครเป็นคนชั่ว。。。。 ก็เหมาเจ๋อตุงคนเดิมอีกยังไงล่ะ 🔥
ข้อหา “การกระทำอันเป็นปฎิปักษ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์และประธานเหมา” คือข้อหาที่น่ากลัวที่สุดของการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน ใครที่โดนข้อหานี้ไม่ตายก็เหมือนตายทั้งเป็น ความน่ากลัวของการปฎิวัติวัฒนธรรมจีนคือการบูชาลัทธิตัวบุคคล เป็นเหมือนดั่งสมมติเทพจะละเมิดไม่ได้ ใครๆก็สามารถเป็นผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาได้ ไม่มีการสืบสวนไต่สวนหรือผ่านกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จัดการด้วยระบบศาลเตี้ย เช่น ฆ่าประจาน ประชาทัณฑ์ ส่งไปแคมป์แรงงานในชนบท หรือสั่งขังลืม ดังนั้นมีเพียงวิธีเดียวที่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นผู้จงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์และประธานเหมาได้ นั้นคือการชี้หน้ากล่าวหาผู้อื่นว่าไม่เป็นผู้จงรักภักดีนั่นเอง (รู้นะ มาถึงตรงนี้ทุกคนคิดอะไรกันอยู่ 🤫)
ช่วงนั้นมีการจัดตั้งขบวนการRed Guard หรือ红卫兵 ขึ้น ซึ่งขบวนการRed Guardsนี้ถูกจัดตั้งขึ้นในทุกภาคส่วนของจังหวัด มีการอบรมและผ่านการล้างสมองมาแล้ว เป็นกลุ่มคนที่พรรคคอมมิวนิสต์เชิดชูว่าเป็นคนที่มีความจงรักภักดีอย่างแท้จริง พวกRed Guardsมีความน่ากลัวมากถึงมากที่สุดเพราะสามารถชี้เป็น ชี้ตายใครก็ได้ที่เค้าสงสัยว่าเป็นปฎิปักษ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์และประธานเหมา สามารถฆ่าคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้Red Guardsยังมีอำนาจในการค้นบ้านและค้นสถานที่ใดๆก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
(ดังนั้นแล้วพวกอาจารย์ทั้งหลายที่ด่านิสิตนักศึกษาที่ออกมาประท้วงรัฐบาลว่าเป็นพวกRed Guard กรุณาไปหาข้อมูล อ่านหนังสือและทำความเข้าใจใหม่ด้วย ถ้าจะเปรียบเทียบRed Guardsกับประเทศไทยแล้วล่ะก็ ควรเปรียบเทียบกับกลุ่มกระทิงแดงสมัย6 ตุลา 19 ถึงจะถูก)
การแยกฝ่ายระหว่างผู้จงรักภักดีกับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ หรือการแยกฝ่ายคนดี vs คนเลวนั้นเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในสังคมจีนแม้แต่ในพรรคคอมมิวนิสต์เองก็ตาม นอกจากนี้ในกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้จงรักภักดีก็มีการตั้งข้อสงสัยว่าใครจงรักภักดีกว่ากัน พูดง่ายๆก็คือแข่งกันจงรักภักดี แข่งกันเป็นคนดี หลายคนคงไม่ทราบว่าเติ้งเสี่ยวผิงในสมัยนั้นก็เคยถูกกล่าวหาในข้อหาเป็นปฏิปักษ์ต่ออุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกส่งไปใช้แรงงานในชนบท ลูกชายคนโตของเติ้งเสี่ยวผิงโดนซ้อมจนพิการ
ขบวนการ Red Guards
ในช่วง10ปีของการปฏิวัติวัฒนธรรมมีผู้เสียชีวิตมากกว่า10ล้านคน!!! เฉลี่ยแล้วปีละล้าน เมื่อเหมาเจ๋อตุงเสียชีวิตลง ก็เกิดการระส่ำระส่ายในพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้น สมาชิกชั้นสูงหลายคนเกิดคำถามว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นการกระทำที่โหดร้ายและรุนแรงเกินไปหรือเปล่า ทำไมคนจีนต้องฆ่าคนจีนด้วยกันเอง? เติ้งเสี่ยวผิงในขณะนั้นขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่แล้ว(ไม่ใช่ประธานาธิบดี) ได้จับกุมสมาชิกพรรคชั้นสูงรวมถึงภรรยาของเหมาเจ๋อตุง (ที่อยู่ในกระบวนสั่งฆ่าคนจีนด้วยกันเองด้วย) ตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตในข้อหา “การกระทำอันเป็นปฎิปักษ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์และประธานเหมา” พูดภาษาชาวบ้านคือข้อหาเป็นคนชั่ว! ซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับที่คนเหล่านี้ใช้กำจัดผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง (สมน้ำหน้า โดนเสียเอง) ประชาชนที่เรียกได้ว่าเป็นผู้รอดชีวิตในขณะนั้นก็ออกมาเฉลิมฉลองที่การปฏิวัติวัฒนธรรมได้สิ้นสุดลงแล้ว เหมือนการหลุดพ้นจากอำนาจเถื่อนที่ครอบงำมานานกว่า10ปี
4
สมาชิกพรรคชั้นสูง4 คน หรือ ขบวนการGang of Four โดนจับในข้อหา “การกระทำอันเป็นปฎิปักษ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์และประธานเหมา” รวมถึง Jiang Qing ภรรยาของเหมาเจ๋อตง
Jiang Qing ภรรยาของเหมาเจ๋อตง
อย่างไรก็ดี เมื่อเหตุการณ์พลิกผันเป็นอย่างนี้ คนที่เคยตราหน้าคนอื่นว่าไม่จงรักภักดีกลับโดนตราหน้าว่าเป็นคนชั่วเสียเอง เกิดคำถามขึ้นมากมายในสังคมจีนว่าถ้าเป็นเช่นนั้นการปฏิวัติวัฒนธรรมที่มีคนตายมากกว่า10ล้านคนก็เป็นการกระทำโดยคนเลวอย่างนั้นเหรอ? แล้วใครคือผู้ริเริ่มความคิดการปฏิวัติวัฒนธรรมล่ะ?.... ก็เหมาเจ๋อตุงอีกยังไงล่ะ 😑
แต่รัฐบาลขณะนั้นคิดว่าถ้ายอมรับว่าเหมาเจ๋อตุงเป็นผู้ทำผิดก็จะส่งผลต่อความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์และอาจถึงขั้นล่มสลายได้ เหมาเจ๋อตุงจะผิดไม่ได้!! ดังนั้นหวยจึงออกมาว่าต้องมีการชำระล้างประวัติศาสตร์ใหม่ นั้นคือการโยนขี้ไปให้สมาชิกชั้นสูงและเมียเหมาเจ๋อตุงเป็นผู้ริเริ่ม ใครก็ตามที่ถูกฆ่าตายก็จะได้รับการชำระล้างมลทิน ติดlabelว่าเป็นเหยื่อของการปฏิวัติวัฒนธรรม ส่วนใครที่ตายด้วยคำสั่งของประธานเหมาซึ่งมีเยอะมากก็จะถูกลืมๆไป ไม่มีการกล่าวถึง เพราะพระเอกไม่มีวันผิด ไม่มีวันมีมลทินแปดเปื้อนตามสไตล์รัฐบาลจีน
เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุด หลายคนไม่ทราบว่าจริงๆแล้วเติ้งเสี่ยวผิงไม่ได้มีตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีจีนแต่อย่างไร แต่เพราะบารมีมากมาย คนให้พรรคให้ความเคารพมากจนเป็นผู้นำสูงสุดของพรรคแต่มิใช่ตำแหน่งประธานาธิบดี
หลังการสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรม เติ้งเสี่ยวผิงกลายเป็นที่รักของคนจีน เป็นผู้กอบกู้ชาติบ้านเมืองจากคนชั่ว เป็นที่เคารพยำเกรงของคนในพรรค จนกระทั่งวันที่ 3-4 มิถุนายน 1989 หลังจากที่คนก็เริ่มลืมๆการปฏิวัติวัฒนธรรมไปแล้ว เกิดการเรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เติ้งเสี่ยวผิงสั่งใช้กำลังทหารและรถถังจำนวนมากเข้าสลายการชุมนุมโดยการกราดยิงใส่คนจีนด้วยกันเอง (ว่ากันว่ามีการใช้รถถังเหยียบทับด้วย) ต่อหน้าสื่อต่างชาติเห็นกันทั่วโลก
เหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ปี 1989
คนที่เคยเป็นที่รักและบูชาเมื่อ10กว่าปีก่อนกลายเป็นคนที่สั่งฆ่าประชาชนคนจีนด้วยกันเอง เพราะอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นอำนาจเผด็จการไม่สามารถถูกท้าทายได้ คงมีลูกหลานจำนวนไม่น้อยของผู้ที่รอดตายจากการปฏิวัติวัฒนธรรมเพราะเติ้งเสี่ยวผิงมาถูกยิงตายเพราะเติ้งเสี่ยวผิงอีกเช่นกัน..
เรื่องราวเหล่านี้สอนให้เรารู้ว่าในยามที่สังคมเกิดความขัดแย้งไม่มีทั้งคนดี และ คนชั่ว มีแต่คำว่า “คน” เท่านั้น เราควรเลิกเสพติดวัฒนธรรมติดlabelคนดี และ คนเลวในสังคมกันได้แล้ว เลิกวาทกรรมจงรักภักดีเป็นคนดี ทำตัวเป็นปฏิปักษ์เป็นคนชั่ว ในสังคมควรมีแต่คนที่เคารพกติกาและไม่เคารพกติกามากกว่า
โฆษณา