17 มิ.ย. 2020 เวลา 04:59
The power of output
ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนอ่านหนังสือเยอะเรียนรู้เยอะอยู่แล้ว แต่ว่าเอาเข้าจริงเรียนไปอ่านไปก็ลืมไปครับ เพราะว่าผมไม่ค่อยได้เอาความรู้ เหล่านั้นไปใช้สักเท่าไร สาเหตุมันมาจากการที่ผมไม่รู้วิธีการที่จะนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ นั้นเอง
วันก่อนพึ่งอ่านหนังสือจบไปเล่มหนึ่งครับ The power of output เป็นหนังสือที่ทำให้แนวทางในการทำงานของผมและการนำความรู้ต่างไปใช้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลย
สถานที่ถ่ายหนังสือ ร้าน Keep it touch @ เชียงใหม่
ในวันนี้จึงจะมาเขียน สิ่งที่ได้รับ จากการอ่านหนังสือ The power of output มาแชร์ให้กับทุกคนได้อ่านกันครับ
1.การทำให้จบ
เมื่อก่อน กว่าผมจะเขียนบทความอะไรสักอย่าง เป็นเรื่องยากและใช้เวลานานมากเพราะผมดันตั้งว่างานนั้น ต้องเป็นงานระดับคะแนนเต็ม 100 ในการเขียนครั้งเดียวและบางครั้งทำให้เขียนไม่จบ
แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ มันทำให้ผมค้นพบว่า เราเปลี่ยนเป็นการเขียนให้จบก่อน โดยเริ่มจากเขียนในระดับ คะแนนที่ 30 คะแนน แล้วค่อยเพิ่ม ค่อยแต่งเติม เพิ่มระดับคะแนนเป็น 50 70 90 แล้วจนถึง 100 คะแนน ถ้าทำแบบนี้ งานเขียนของผมก็ลดเวลา และพลังงานไปได้เยอะเลยครับ
2.การควบคุมอารมณ์โกรธ
วันก่อนมีโอกาสได้ดูทีวี เป็นช่วงสั้นๆ ประมาณ 30 นาที แต่ข่าวที่ฟังนั้นส่วนใหญ่เป็นข่าวเรื่องเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว และการทำร้ายกันในครอบครัว ที่มีต้นเหตุมาจากความโกรธ
เวลาเราโกรธมันทำให้เราขาดสติ ถ้าเราควบคุมการโกรธได้ ผมว่ามันคงลดปัญหาสังคมเหล่านี้ได้ ในหนังสือได้แนะนำวิธีควบคุมการโกรธไว้ คือ หายใจ เข้า 5 วินาที หายใจออก 15 วินาที ทำอย่างนี้ วนไป 3 ครั้ง สามารถทำให้เราระงับการโกรธได้ เพื่อนคนไหนโกรธง่ายลองไปทำตามดูครับ
แต่ส่วนตัวนั้นผมใช้เทคนิคการควบคุมอารมณ์โกรธนี้ กับการตั้งสมาธิก่อนการทำงานครับ ซึ่งก็ใช้ได้ผลมากเลยทีเดียว
3. การบริหารเวลา
ส่วนตัวผมก็มีวิธีการบริหารเวลาของผม คือวิธีที่เรียกว่า Pomorodo คือการจับเวลาในกิจกรรมอะไรบางอย่างภายใน 25 นาที แล้วพัก 5 นาที ซึ่งภายใน 25 นาทีนั้นเราจะไม่ทำอย่างอื่นนอกจากงานตรงหน้า ด้วยเทคนิคดังกล่าวผมสามารถอ่านหนังสือ หนา 400 หน้า จบภายใน 2 วันได้อย่างสบายๆ(มีโอกาสจะนำเทคนิคPomorodo มาแชร์ครับ)
แต่ในหนังสือเล่มนี้ ได้แนะนำวิธีการ นำเสนอ output ในเวลา 15 นาที ผมก็มอง ว่ามันเป็นเทคนิคที่ดีเหมือนกันในการร่างไอเดีย แบบหยายๆ ขยับเวลาให้สั้นลงมาอีกบีบเคล้นความคิดออกมาให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ผมก็ผสมผสาน การทำงานของผม ทั้งโฟกัส 15 นาที กับงานที่ไม่ละเอียดมาก 25 นาทีกับงานที่ต้องละเอียดขึ้นอีกหน่อย ลองมาเปลี่ยนจากการนั่งฝืนทำอะไรเป็นเวลานาน เป็นตั้งใจทำโดยใช้เวลาไม่กี่นาทีกันครับ
4.การจดบันทึกสุขภาพ
ผมไม่เคยจดบันทึกสุขภาพเลย เคยแต่ชั่งน้ำหนัก กับจับเวลานอน แต่ไม่เคยบันทึกไว้ แต่หนังสือเล่ม นี้ ก็แนะนำว่าให้ทำการจดบันทึก แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือการจดบันทึก อารมณ์ ของตัวเองในตอนเช้าโดยหลักการให้คะแนนเป็นอารมณ์แบ่งเป็น -5(รู้สึกแย่สุด) ถึง 5(รู้สึกดีมาก)
ผมก็ได้ลองทำการจดบันทึก อารมณ์แรกของตัวเองหลังจากการตื่นนอน วันไหนที่ผมตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์หรือความรู้สึกที่ไม่ดี พอได้เขียนมัน เราจะเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่รบกวนจิตใจเราอยู่ บางครั้งสิ่งที่รบกวนจิตใจเราอยู่อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ถ้ามันยังวนเวียนอยู่ในหัวมันก็จะขยายใหญ่ได้เพราะฉะนั้นระบายมันออกมา หลังจาก เช็กอารมณ์เสร็จ ผม ก็รู้สึกดีขึ้นโดยทันที
แต่ถ้าวันไหนตื่นมาอารมณ์ดี ตอนตรวจสอบอารมณ์ เรื่องดีๆมันจะวนกลับมาทำให้เรารู้สึกดีอีกครั้งมันก็ทำให้ผมอารมณ์ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ
5.สูตรการรีวิวหนังสือ
ก่อนหน้านี้ผมก็มีการรีวิวหนังสืออยู่บ่อยครั้งแต่ก็มักเป็นเรื่องยาก เพราะผมไม่มีหลักการในการรีวิว กว่าจะเขียนเสร็จแต่ละอันสิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก จนเลิก รีวิวไป แต่วันนี้ผมใช้หลักการรีวิวจากหนังสือ สูตรคือ “Before ตามด้วย สิ่งที่ค้นพบ และ สิ่งที่จะทำ” แล้วใช้การวางโครงสร้างก่อนเขียน พอรู้เทคนิคนี้แล้วทำให้ผมทำงานได้ง่ายและก็สนุกขึ้นอย่างมากเลยครับ
6.การตัดสินใจ
ผมมักจะมีปัญหาในตัดสินใจอยู่เสมอ เพราะสิ่งของในโลกนี้มีมากมายเสียเหลือเกิน กว่าจะเลือกอะไรแต่ละทีหรือจะทำอะไรแต่ละอย่าง หนังสือเล่มนี้ได้แนะนำเทคนิค first chess การตัดสินใจภายใน 5 วินาที ที่นักหมากรุกมืออาชีพใช้กัน ซึ่งมีงานวิจัยบอกว่า การตัดสินใจ ในการเดินหมากรุก โดยใช้เวลา 5 วินาทีกับ 30 นาที ลักษณะการเดินหมากตรงกันถึง 86%
นอกจาก นี้แล้วยังมีเทคนิคเพิ่มเติม คือ เลือกตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น กับสิ่งที่เราคิดได้ก่อน ซึ่งผมนำไปใช้กับชีวิตประจำวันหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการตัดสินใจในการเลือกของกิน ประหยัดเวลาไปได้เยอะเลยครับ
7.การยิ้ม
บางครั้งพอหมดวัน ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในแต่ละวัน ก็มักสังเกตได้ว่าผมนั้นลืมที่จะยิ้มไป พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ มีการพูดถึงการยิ้ม ถึงจะไม่มีเทคนิคอะไรมากมายแต่มันก็ทำให้ผม นึกขึ้นได้ว่า ผมควรยิ้มให้มากขึ้น เพราะก่อนหน้านั้นช่วงที่ผมมีความสุขในชีวิต ก็มักเป็นช่วงที่ผมยิ้มบ่อยนั้นเอง
สำหรับใครที่กำลังมองหาความสุข ผมว่าคุณไม่ต้องไปตามหาที่ไหนแค่หันหน้ามองกระจก แล้วยิ้มให้กับตัวเองคุณ จะมีความสุขทันทีภายใน 10 วินาที ไม่เชื่อ ลองเลย
จบครับสำหรับสิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือในครั้งนี้ ถ้าคุณมีของและอยากจะปล่อยมันออกมา แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะปล่อยมันออกมายังไง แนะนำให้ลองหา หนังสือ The power of output มาอ่านดูครับ แล้วคุณจะปล่อยของได้อย่างเป็นศิลปะมากขึ้นครับ
ขอบคุณ
จากเพจ ชายชื่อปองที่หมายปองความสำเร็จ
ขอบคุณสถานที่
ร้าน Keep it touch @ เชียงใหม่
ร้านสวยมาก ประเทศเริ่มเปิดแล้ว ไปอุดหนุนและไปถ่ายรูปกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวที่เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จได้ที่
โฆษณา