17 มิ.ย. 2020 เวลา 01:53 • ธุรกิจ
Adidas คือแบรนด์กีฬาสัญชาติเยอรมันที่ไม่มีใครในโลกไม่รู้จักครับ และยังเป็นแบรนด์อุปกรณ์กีฬารุ่นแรกๆที่เกิดมาก่อนแบรนด์อื่นอีกมากมาย และประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน
แต่ !! มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ Adidas เลือกก้าวเดินที่ผิดพลาดจนเป็นเหตุให้สูญเสียรายได้ไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ นั่นคือการปล่อยให้นักบาสวัยรุ่นชื่อ Michael Jordan (ที่ส่วนตัวชื่นชอบ Adidas มาตั้งนานแล้ว) ไปเซ็นสัญญากับคู่แข่งอย่าง Nike ซึ่งส่งผลให้เกิดการร่วมมือเป็นแบรนด์ Jordan ที่ตอนนี้มีมูลค่าอยู่กว่า 130 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท
1
ทำไม Adidas ถึงยอมให้เกิดดีลนี้ โดยไม่เข้าไปแย่ง เดี๋ยวผมจะ”เล่า”ให้ฟังครับ
1
Adidas คือแบรนด์กีฬาสัญชาติเยอรมันที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ 1924 และครองตลาดกีฬามาอย่างยาวนานครับ แต่กว่าจะสามาาถตีตลาดบาสเกตบอลอย่าง NBA ได้ก็เป็นในช่วงปี 1970s ในตอนนั้นนักกีฬาระดับท็อปทุกคนต่างเลือกใช้รองเท้าของ Adidas ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Adrian Dantley, Bob Lanier และ Marques Johnson
2
ส่วน Nike นั้นเป็นแบรนด์กีฬาสัญชาติอเมริกาที่ก่อตั้งในปี 1964 โดย Phil Knight ซึ่งมาช้ากว่า Adidas ถึง 40 ปี และเริ่มต้นด้วยการเป็นแบรนด์รองเท้าวิ่ง (Running Shoes) เพราะตัว Phil เองเป็นนักวิ่งมาก่อน และผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Bill Bowerman ก็เป็นโค้ชทีมกรีฑาเช่นกัน
3
ในช่วงปี 1971 นักกีฬาบาสเกตบอลหลายคนเลือกใช้รองเท้าของ Adidas อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้ว หนึ่งในนั้นคือหมากที่ Adidas เดินได้ที่สุด (รองจากดีลของ Jordan) นั่นคือการเซ็นสัญญากับตำนานตลอดกาลอย่าง Kareem Abdul Jabbar เซนเตอร์ร่างยักษ์เจ้าของ Signature Move ชื่อ Sky Hook ที่ตอนนั้นอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะก้าวมาเป็นหนึ่งในตัวแทนคนสำคัญของ Adidas
2
***ในตอนนั้น Nike ยังแทบไม่มีอิทธิพลกับวงการบาสเกตบอลเลย
4
เวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงปี 1981 วงการบาสเกตบอล NBA ได้เกิดอัจฉริยะตลอดกาลขึ้นมาอีกคน นั่นคือ Michael Jordan
1
ในปีนั้น Jordan ถือเป็นนักกีฬาหนุ่มหน้าใหม่อนาคตไกลที่ได้แชมป์ในระดับมหาวิทยาลัย ก่อนที่จะถูก Draft เข้ามาในลำดับที่ 3 ตามหลัง Hakeem Olajuwon และ Sam Bowie
3
*** การ Draft คือการเลือกตัวนักกีฬา ซึ่งปกติแล้วทีมแรกที่ได้สิทธิ์ก็จะเลือกนักกีฬาที่เก่งที่สุดก่อน
แต่การที่ Jordan ถูก draft เป็นอันดับ 3 ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เก่ง เพราะผลงานของเค้าแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเค้าเก่งแค่ไหนครับ
5
แน่นอนว่าเมื่อแสดงผลงานได้ดี ได้รับความนิยม ก็ต้องมีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุน ซึ่งตัว Jordan เองชื่นชอบ Adidas มานานแล้วเนื่องจาก Adidas นั้นครองตลาดบาสเกตบอลมาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปี และเพื่อนร่วมอาชีพหลายๆคนก็ใช้ Adidas ทั้งสิ้น
1
และ Jordan เองก็คาดหวังที่จะได้รับการติดต่อจาก Adidas ไม่ช้าก็เร็ว
1
6
แต่ทาง Adidas กลับไม่สนใจที่จะยื่นข้อเสนอให้กับ Jordan เพราะ ความสูง 6 ฟุตครึ่ง (198 cm) นั้นตัวเล็กเกินไป (😨😨😨) และยังคงชื่นชอบในพรีเซนเตอร์ตัวสูงอย่าง Kareem (218 cm) มากกว่า
1
*** ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ เพราะเมื่อพูดถึงกีฬาบาสเกตบอลก็ต้องนึกถึงความสูงไว้ก่อนอยู่แล้ว แต่ที่ผิดคือ Adidas น่าจะลืมคิดถึงความสามารถในการกระโดดและลอยตัวในอากาศของ Jordan ไป
1
ประกอบกับในตอนนั้น Adidas ยังมีนักกีฬาจากตำแหน่งเดียวกันกับ Jordan (Shooting Guard) อยู่ในแบรนด์สองคน ซึ่งก็คือระดับตำนานทั้งคู่อย่าง Magic Johnson และ Larry Bird จึงทำให้ความสนใจในตัว Jordan ยิ่งลดน้อยลงไปอีก
7
และนี่คือจังหวะดีที่ Nike เข้ามาเดินเกมเซ็นสัญญากับ Michael Jordan ได้สำเร็จ ซึ่งสามารถเข้ามาตอบโจทย์ของ Jordan ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำรองเท้า Signature Shoe รวมไปถึงการที่ให้ Jordan เป็นพรีเซนเตอร์หลักของ Nike ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเติบโตแบบก้าวกระโดด
1
นั่นหมายความว่า Jordan คือเบอร์หนึ่งของ Nike และไม่ต้องคอยอยู่ใต้ร่มเงาของรุ่นพี่อย่าง Kareem, Magic และ Larry
3
8
และนั่นคือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ Nike และ Jordan ครับ แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะ Nike ได้ส่ง Tinker Hatfield นักออกแบบรองเท้าฝีมือฉกาจอีกคนมาร่วมงานกับ Jordan ส่งผลให้เกิดรองเท้ายอดนิยมหลายคู่ภายใต้แบรนด์ Nike Air Jordan ที่โด่งดังมาจนถึงปัจจุบันนี้
1
อีกปัจจัยที่ทำให้ Nike และ Jordan ประสบความสำเร็จนั่นคือผลงานในสนามของ Chicago Bulls ที่สามารถคว้าแชมป์ 3 สมัยติดในปี 1991-1993 และทุกครั้งที่ได้แชมป์ Jordan จะสวมรองเท้า Air Jordan รุ่นใหม่เสมอ ยิ่งทำให้ความนิยมเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
2
*** ถือว่าเป็นโชคดีของ Nike ครับ เพราะถ้า Bulls ไม่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น ก็อาจจะกลายเป็น Adidas หรือ Reebok ที่ก้าวขึ้นมาเป็นมีบทบาทในวงการบาสเกตบอลมากขึ้นแทนเช่นกัน
1
9
ล่าสุดปี 2019 แบรนด์ของ Jordan ทำรายได้ไปถึง 3,100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 96,400 ล้านบาท ถ้าไม่สัญญาของ Nike ในวันนั้น รายได้ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นของ Adidas ก็ได้
แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่มีใครรุ้เพราะเหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้น แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราพูดได้ว่าในเรื่องนี้ Nike คือผู้ชนะ และ Adidas คือผู้แพ้ที่ปล่อยให้แบรนด์เล็กๆในเวลานั้นมาแย่งสมบัติก้อนโตไปต่อหน้าต่อตาครับ
3
และทั้งหมดนี้เองที่เป็นบทเรียนของ Adidas ที่ปล่อยให้ Air Jordan กลายเป็นรองเท้าบาสยอดฮิตซึ่งมีมูลค่าทางการตลาดกว่า 4,000 ล้านบาทอย่างที่เราเห็นนั่นเองครับ
2
ลองคิดดูว่าถ้าตอนนั้น Adidas ตัดสินใจคว้าลายเซ็นของ Jordan มา ถึงแม้สมมุติว่าอาจจะไม่สามารถสร้างแบรนด์ให้ Jordan ได้อย่างที่ Nike ทำ แต่อย่างน้อยก็สามารถกำจัดคู่แข่งและครองตลาดบาสเกตบอลได้นานขึ้น และไม่ต้องเสียรายได้ไปให้กับแบรนด์คู่แข่งอย่าง Nike มูลค่ามหาศาลหลายล้านดอลลาร์ในตลอด 30 ปีที่ผ่านมานี้ด้วยครับ
เรียกได้ว่าเป็นการตัดสินผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนึงของ Adidas เลย เชื่อว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ Adidas เองก็คงอยากจะกลับไปแก้เหมือนกัน
และนี่คือบทสรุปของบทเรียนมูลค่า 4,000 ล้านของ Adidas ครับ
แล้วไว้จะหาเรื่องสนุกๆน่าสนใจแบบนี้มา “เล่า” ให้ฟังกันอีก ใครมีไอเดียอะไรหรืออยากให้เล่าเรื่องไหนก็มาพูดคุยกันได้เลย จะไปหารายละเอียดมาให้ครับ
ส่วนถ้าใครไม่อยากพลาดทุกโพสต์ของเพจ “เล่า” แอดมินแนะนำให้กด See First เอาไว้ด้วยครับ :)
ติดตามเรื่อง “เล่า” ผ่าน facebook ได้ที่
#เล่า #เล่าหนังสือ #เล่าความรู้ #unfold #ส่งเสริมการอ่าน #ส่งเสริมการเรียนรู้ #Adidas #Nike #MichaelJordan
โฆษณา