17 มิ.ย. 2020 เวลา 05:30 • การศึกษา
เมื่อถึงวันที่มี “ความสำเร็จเป็นของตนเอง”
เมื่อถึงวันที่เด็กทำอะไรสำเร็จ ความสำเร็จของผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่แพ้กัน
พึงระลึกและสอนเด็กๆว่า
“การรู้จักฝึกนิสัยชื่นชมในความสำเร็จของผู้อื่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของตัวเอง”และวิธีการจะสอนให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่าง
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น???
จากข้อเขียนของ รศ.นพ. สุริยเดว ทรีปาตี ผู้เขียนอ่านแล้วต้องบอกว่าประทับใจมากๆ มันคือสิ่งที่เรียกว่า สอนลูกให้เป็นคนดี ด้วยทักษะที่ 3 เข้าใจโลก เข้าใจความจริงของชีวิต หรือคุณสมบัติ1ใน10 ข้อของวัยรุ่นยุค New Normal พึงมีตามหลักของ WHO
ถ้าเราจะเปรียบคือทักษะ growth mindset ในหัวข้อ empathy ถ้าเปรียบเทียบในศาสนาพุทธคงจะเปรียบได้กับ “มุทิตา”
มุทิตา คือการที่เด็กมีความรู้สึกเข้าใจผู้อื่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เห็นผู้อื่นมีความสุข สามารถรู้สึกยินดีตามผู้อื่นได้ด้วยความจริงใจ
เด็กจะมองเห็นว่า การที่เห็นคนอื่นมีความสุขและร่วมดีใจไปด้วยนั้น
การฝึกทักษะนี้จะทำให้เขา เป็นคนที่มีความสุขอย่างแท้จริง
การสร้างและสอน mindset ทักษะในเรื่อง การมี empathy หรือศิลปะในการเข้าใจผู้อื่นเป็น 1 ใน 10 ทักษะที่วัยรุ่นรุ่นใหม่พึงมี
ดังนั้น สอนให้เด็กๆเริ่มเข้าใจผู้อื่นได้ง่ายๆโดยที่ตัวเราเองผู้เป็นพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่าง
Empathy หมายรวมถึง ความเข้าอกเข้าใจทั้งในด้านอารมณ์ และเข้าใจมุมมองในความคิดของผู้อื่น
ถ้าพ่อแม่เองก็ไม่เคยชมใคร ไม่เคยเห็นอกเห็นใจใคร ไม่เคยใส่ใจใครนอกเหนือจากตัวเอง เด็กก็จะได้อิทธิพลตามแบบอย่างนั้นมา
พ่อแม่อย่างเราจะสอนให้ลูก รู้จักเอ่ยปากชื่นชมกับความสำเร็จของผู้อื่น เริ่มได้จาก
1.แสดงความชื่นชมกับลูกอย่างจริงใจ เช่น แม่ดีใจมาก แม่ภูมิใจมาก พ่อก็ภูมิใจ ต้องหัดพูดไว้ให้ติดปาก
เหล่านี้จะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจในตัวเอง มี Self Esteem ที่ดี
เลิกเปรียบเทียบลูก สู้พี่ไม่ได้ สู้น้องไม่ได้ จะทำให้เด็กไม่รู้จักยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น
2.เลี้ยงลูกไม่ให้เห็นแก่เฉพาะตัวเอง มีความรักเผื่อแผ่คนรอบข้าง
สิ่งแรกง่ายๆ พ่อแม่ต้องสอนให้ความเติมเต็มกับลูก ไม่ดูดายเฉยเมย
ยิ่งสมัยนี้ลูกคนเดียว ยิ่งต้องสอนเรื่องนี้เยอะๆ เด็กวัยรุ่นหน่อยไปเที่ยวกับเพื่อน ไปค่าย มักจะได้ยินพ่อแม่บอกว่า ไม่ต้องซื้ออะไรกลับมาฝากนะลูก ประมาณนี้ ไปเยี่ยมบ้านเพื่อนหรือใคร อย่าให้ไปมือเปล่าๆ ถือขนมเบาๆติดมือให้เขาไปแสดงเป็นน้ำใจ
3.สอนให้รู้จักดีใจกับผู้อื่น ด้วยความจริงใจ ไม่มองว่าเพราะเขาฉลาดกว่า รวยกว่า เก่งกว่า ผู้เขียนได้ยินบ่อยๆ “เธอก็ทำได้สิ ก็เธอเก่งกว่า” ก็”ไม่ต้องดิ้นรนนี่ ก็ที่บ้านเขารวย” แบบนี้เป็นต้น
การคิดแบบนี้และปลูกฝังมาเรื่อยๆ ชีวิตคงหาความสุขได้ยาก เพราะไม่เคยกลับมามองที่ตัวเอง
ดังนั้น สอนให้รรู้จักชื่นชมคนอื่นด้วยความเต็มใจ
4.สอนให้รู้ว่าคนเราไม่เหมือนกัน ทุกคนแตกต่างกัน มีความสามารถคนละอย่าง สภาพแวดล้อมต่างกัน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่มาเป็นตัวกำหนด ว่าเราจะสามารถทำตัวเราเองให้มีความสุขได้หรือไม่
ว่ากันว่า คำชมก่อให้เกิดพลังด้านบวก ไม่ว่าเราจะได้รับคำชมจากใคร หรือกลับกันเราชื่นชมคนอื่นด้วยความจริงใจ มีจังหวะในการพูดชม คนรอบตัวมีความสุข เราก็จะมีความสุขด้วยเช่นกัน
จงยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นเสมอ
เพราะความสำเร็จ มันเป็นกระบวนการ สอนให้เด็กๆคิดเสมอว่า กว่าที่เขาเหล่านั้นจะมาถึงวันนี้วันที่มีความสำเร็จได้ เขาต้องผ่านอะไรมาเยอะมากแค่ไหน
และเป็นการปรับทัศนคติให้เด็กๆคิดเป็นเชิงบวก
ทักษะเรื่อง Empathy เป็นทักษะที่โลกในปัจจุบันต้องการ เพราะเป็นทักษะที่จะทำให้เด็กที่เติบโตไป เป็นคนที่ รู้จักการคิดวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้อื่นการสื่อสารกับผู้อื่น ได้เป็นอย่างดี และมีความสำคัญมากในการอยู่ร่วมกันในสังคม การดูแล การเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
เมื่อถึงวันที่ “มีความสำเร็จเป็นของตัวเอง”วันนั้น เด็กๆจะมีมากกว่าความภูมิใจ อย่างแน่นอน
วันนี้คุณเอ่ยปากชื่นชมใครด้วยใจจริงบ้างหรือยัง
โฆษณา