Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรียนบาลี Pali Learning Podcast
•
ติดตาม
18 มิ.ย. 2020 เวลา 09:01 • การศึกษา
บก.วัด
วัดเปรียบเหมือนหน่วยทหารของพระพุทธเจ้า-เคยมองในมุมนี้กันบ้างไหม
พระภิกษุสามเณรคือทหารของพระพุทธเจ้า ทหารแห่งกองทัพธรรม
วัดก็คือหน่วยทหารแห่งกองทัพธรรม
ในเมืองไทยของเรานี้มีวัดอยู่ประมาณสามหมื่น-สี่หมื่นวัด
เหมือนพระพุทธศาสนาในเมืองไทยมีหน่วยทหารอยู่สามหมื่น-สี่หมื่นหน่วย
ระบบของหน่วยทหารที่เรารู้กันก็คือ -
๑ มีกองรักษาการณ์ตั้งอยู่ที่ประตูเข้าพื้นที่ (ซึ่งมักมีหลายๆ หน่วยมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่นั้น)
๒ หน่วยย่อย เช่น กองร้อย กองพัน กองบัญชาการหรือกรม (ดังคำทางทหารคือ “กรมกอง” ที่เราคุ้นกันดี) จะมี “บก.” ของตัวเอง
“บก.” อ่านว่า บอ-กอ ย่อมาจากคำว่า “กองบังคับการ” หรือ “กองบัญชาการ” แล้วแต่กรณี
เรียกกันย่อๆ เช่น บก.ร้อย. บก.พัน. บก.กรม.
บก.ร้อย. = กองบังคับการกองร้อย
บก.พัน. = กองบังคับการกองพัน
บก.กรม. = กองบังคับการกรม
หลักนิยมของ บก. ทั้งหลายก็คือ ต้องมี “นายทหารเวรประจำวัน” อยู่ประจำ
“นายทหารเวร” ก็คือนายทหารที่สังกัดหน่วยนั้นๆ จัดหมุนเวียนกันมา “เข้าเวร” พร้อมทั้งมี “เสมียนเวร” และ “พลทหารเวร” ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน
“หน้าที่” ก็คือ ปรากฏตัวหรือแสดงตัวให้เห็นว่าประจำอยู่ ณ ที่ตั้ง มีโต๊ะ เก้าอี้ หรือเคาน์เตอร์เป็นองค์ประกอบ ซึ่งมักจะอยู่ที่ใกล้ประตูทางเข้าอาคารหรือทางขึ้นอาคาร หรือตำแหน่งที่ต้องผ่านหรือเห็นได้ง่ายที่สุด
นั่นหมายความว่า ใครจะเข้ามาในอาคารจะต้องผ่านที่ตั้งนายทหารเวรเป็นด่านแรก (หลังจากผ่านประตูกองรักษาการณ์มาแล้ว)
และนั่นหมายความว่า ใครมีธุระจะเข้ามาหาใครหรือติดต่อเรื่องอะไร จะต้องได้พบเจ้าหน้าที่ต้อนรับอยู่อย่างแน่นอน
ปัญหาที่ว่า-เข้าไปในหน่วยทหารแล้วไม่เจอใคร ไม่พบใคร ไม่รู้จะไปติดต่อตรงไหน จะไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
นี่คือระบบของหน่วยทหาร
แต่ระบบเช่นว่านี้ ในวัดไม่มี
ปัญหาที่น่าอิดหนาระอาใจและน่าเบื่อหน่ายที่สุดเมื่อประชาชนเข้าไปหาใครหรือติดต่อเรื่องอะไรในวัด-โดยเฉพาะวัดในเมืองหรือวัดในกรุง-ก็คือ เข้าประตูวัดไปแล้วไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
ยังไม่นับ-เจอพระเณรที่ไม่สนใจใครใดๆ ทั้งสิ้น ใครจะไปใครจะมาไม่รับรู้ ไม่เอาเป็นธุระ โยมจะมาหาใคร จะไปทางไหนก็เรื่องของโยม รวมทั้งที่ระแวงโยมไปหมดทุกคนว่าจะมาร้ายหรือจะมารบกวน จึงต่างคนต่างอยู่ ปิดประตูไม่ต้อนรับ
ปัญหานี้จะหมดไปถ้าทุกวัดตั้ง “บก.วัด”
ผมขอเรียกว่า “บก.วัด” (บอ-กอ-วัด) ก็แล้วกัน เรียกง่าย จำง่าย ติดปากง่าย
แต่ไม่เป็นไร ใครคิดว่าชื่ออื่นเวิร์คกว่า ก็คิดขึ้นมา แต่เรื่องชื่อเอาไว้ทีหลังก็ได้ ที่จำเป็นเฉพาะหน้าก็คือ-ทำอย่างไรผู้มีอำนาจท่านจึงจะคิดจึงจะสั่งให้ทุกวัดต้องมี “บก.วัด”
กรณีโควิด-๑๙ ท่านสั่งให้วัดทั้งหลายตั้งโรงทาน ก็ยังสั่งได้ ชนิดที่เรียกว่า-เช้าสั่ง เย็นตั้งเสร็จ หรือเย็นสั่ง เช้ารุ่งขึ้นตั้งเสร็จ
ตั้งโรงทานช่วยสงเคราะห์ประชาชน แต่ละวัดต้องใช้ทุนเป็นอันมาก แต่วัดทั่วประเทศก็ทำได้
ตั้ง “บก.วัด” ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยครับ
ทุนประเดิมคือต้องมีความคิดที่จะทำ ไม่ต้องรอให้ใครสั่ง
ใช้ทรัพยากรที่แต่ละวัดมีอยู่แล้วนั่นเอง ประกอบด้วยการบริหารจัดการที่ชาญฉลาดเข้าช่วยอีกสักนิดหนึ่ง
โรงทานนั้นอยู่ได้ชั่วคราว
แต่ “บก.วัด” อยู่ยั่งยืนคู่วัด อำนวยประโยชน์ทั้งแก่ประชาชนและแก่วัดเองตลอดไป
วิธีการคือ-เลือกสถานที่เข้าสักแห่งหนึ่งภายในวัด-ชนิดที่เข้าประตูวัดแล้วเป็นต้องเจอ หรือถ้าอยู่ลับตาหน่อยก็ติดป้ายบอก “ทางไป บก.วัด” ตั้งแต่ประตูวัดไปเลย เดินตามป้ายต้องเจอแน่
ที่ “บก.วัด” จัดพระเณรหรือคนวัดอยู่ประจำตลอดเวลา แสดงตัวให้เห็นโดยเปิดเผย ไม่ต้องเคาะประตูเรียก และไม่ใช่ประเภท- ตัวไปไหนไม่รู้ อยู่แต่โต๊ะ
ตามความจริงนั้น ไม่ใช่ว่าจะมีคนเข้ามาติดต่อธุระในวัดทั้งวัน บางวันมีมาก บางวันมีน้อย บางวันอาจไม่มีเลย
แต่ตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนว่า-เมื่อโยมมาถึงวัด ต้องได้พบคนวัด จัดการธุระที่ประสงค์ได้แน่นอน ไม่ต้องหัวเสียกลับไปเพราะหาใครไม่เจอ
เพราะฉะนั้น ที่ “บก.วัด” จึงสามารถใช้เป็นที่นั่งท่องหนังสือ อ่านหนังสือ แปลหนังสือ เรียนหนังสือ หรือทำกิจอื่นๆ ของสงฆ์ได้สารพัด
ภารกิจหลักคือจัดไว้เป็นที่ต้อนรับญาติโยม
โยมมา ก็ใช้เป็นที่ต้อนรับโยม
ไม่มีใครมา ก็ใช้เป็นที่ทำกิจดังว่านั้น
จึงว่า-ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
ไม่เสียเวลา
ไม่เสียกำลังคน
ไม่เสียงาน
แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่-ต้องเปลี่ยนทัศนคติกันใหม่
เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ --
เราไม่ได้เตรียมวัดให้เป็นสมบัติชุมชน
ไม่ได้เตรียมคนให้มีน้ำใจรับแขก
ตรงกันข้าม -
เราทำวัดให้เป็นสมบัติส่วนตน
เราทำคนให้อยู่แบบตัวใครตัวมัน
ดังที่ผมเคยนำหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาแสดงให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่ชาวเราต้องให้ความสำคัญมี ๗ อย่าง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา สมาธิ อัปปมาทธรรม และปฏิสันถาร
“ปฏิสันถาร-การต้อนรับ” เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่ท่านจัดไว้ว่า-เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
ถ้ายังไม่เคยทราบ โปรดทราบ
ถ้ายังไม่เคยตระหนัก โปรดตระหนัก
ตั้งแต่ข้อแรกจนถึงข้อ ๖ สังคมไทยเราให้ความสำคัญกันอย่างถึงขนาด
เราสร้างพระพุทธปฏิมาตั้งแต่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจนถึงขนาดเล็กจิ๋ว บางวัด-หลายวัดไม่มีที่จะประดิษฐาน มีจนล้นวัด
เราสร้างพระไตรปิฎกกันอย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่พระไตรปิฎกแผ่นทองคำ พระไตรปิฎกหินอ่อน ไปจนถึงพระไตรปิฎกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกระบบ
เราชักชวนเชิญชวนกันเป็นเจ้าภาพบวชพระบวชเณรกันอย่างอึกทึกครึกครื้น ปลื้มใจเป็นล้นเหลือในอานิสงส์สร้างทายาทพระศาสนา สืบอายุพระศาสนา
เราทุ่มเทให้กับการศึกษาทางพระศาสนาอย่างสุดตัว เรามีมหาวิทยาลัยที่รู้กันว่าเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา ๒ แห่ง มีวิทยาเขตทั่วประเทศ มีวิทยาลัยสงฆ์จังหวัดต่างๆ เป็นอันมาก ทางด้านการศึกษาบาลีเราสนับสนุนสำนักเรียนต่างๆ กันอย่างคึกคัก ถวายความอุปถัมภ์พระภิกษุสามเณรที่เรียนบาลีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
เรามีสำนักปฏิบัติธรรม ส่งเสริมการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาอยู่ทั่วประเทศ จัดเป็นกิจที่เป็นเนื้อเป็นตัวของพระศาสนา ใครได้เข้าปฏิบัติธรรมก็จะเป็นที่ชื่นชมยินดีอนุโมทนาบุญกันทั่วหน้า ทั่วประเทศมีกิจกรรมปฏิบัติธรรมกันไม่ขาดตลอดทั้งปี
ทั้งหมดนี้เราทำกันอย่างเข้มแข็ง ตั้งใจ เต็มใจ ไม่ละเลยเพิกเฉย อันเป็นลักษณะสำคัญของอัปปมาทธรรม คือความมีสติ ไม่ประมาท ไม่ละเลยหลงลืม
แต่-ปฏิสันถารคารวตา การให้ความสำคัญแก่การปฏิสันถาร ข้อสุดท้าย กลับไม่มีใครพูดถึง
ไม่มีใครสนใจ
ไม่มีใครมองเห็น
ไม่มีใครเหลียวแล
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำไปกระมังว่า ท่านจัดเข้าไว้ในกระบวนคารวธรรม-สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเท่าๆ กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การศึกษา สมาธิ และอัปปมาทธรรม
ตื่นขึ้นมาตั้ง “บก.วัด” กันเถอะขอรับ
ทำให้ประชาชนประทับใจวัดก่อน
ทำให้ประชาชนอุ่นใจเมื่อเข้าไปในวัด
แล้วต่อจากนั้น วัดจะเป็นฐานปฏิบัติการทางธรรมเพื่อสังคมได้อย่างมั่นคง
ถ้ากระดากใจหรือไม่สะดวกใจที่จะทำ เนื่องจากกระผมผู้เสนอแนะเป็นฆราวาส และไม่ใช่ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ก็ขอได้โปรดลบชื่อ “ทองย้อย” ออกไปจากจิตใจให้ขาวสะอาด
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความคิดของทองย้อยขอรับ
แต่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า
เป็นความคิดของพระพุทธเจ้า
ทองย้อยเป็นเพียงคนอัญเชิญหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบอกเท่านั้น แล้วก็จะหายตัวไป
เหลือแต่ผู้บริหารวัด
ผู้บริหารการพระศาสนา
กับหลักธรรมอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ - พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เราจะปฏิบัติตาม หรือจะมองข้ามไม่เห็นความสำคัญ อยู่กันแบบตัวใครตัวมันกันเรื่อยไป
ถ้าวัดต่างๆ ยังไม่ยอมตื่น หรือพูดกันตรงๆว่า ถ้าคณะสงฆ์ ถ้ามหาเถรสมาคม ถ้าผู้บริหารการพระศาสนาของเรายังไม่ยอมตื่น ไม่เห็นความสำคัญของปฏิสันถาร ไม่สั่งการ ไม่จัดการ ไม่ขยับตัว คือไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้วัดต่างๆ ตกอยู่ในสภาพเดิม-ดังที่กำลังเป็นอยู่
อีกไม่นานเกินรอ วัดของเราจะสูญเสียบทบาทอันยิ่งใหญ่ที่ควรมีแก่สังคม-อันเปรียบเสมือนหน่วยทหารของพระพุทธเจ้า ในฐานะเป็นศูนย์กลางการศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่พระธรรมในพระพุทธศาสนา
วัดต่างๆ จะมีค่าเพียงแค่เป็นที่พักส่วนตัวของพระเณรเท่านั้น
ซ้ำยังแขวนป้าย don't disturb อีกต่างหาก
ตื่นขึ้นมาตั้ง “บก.วัด” กันเถอะขอรับ
“บก.วัด” จะเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิสันถารคารวตา
ปฏิสันถารไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างก็จริง
แต่ปฏิสันถารเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง
เชื่อพระพุทธเจ้าเถอะขอรับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๓
๑๓:๑๓
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย