18 มิ.ย. 2020 เวลา 12:42 • หุ้น & เศรษฐกิจ
CAN SLIM วันละบท - บทที่ 9
M = Market direction: How you can determine it
ทิศทางของตลาด: คุณจะสามารถระบุมันได้อย่างไร
ตำราของนักลงทุนสาย Run trend - ซื้อแล้วถือให้สุดเทรนด์
เราอาจจะทำถูกต้องในทุกๆบทที่ผ่านมา แต่ถ้าคุณผิดเกี่ยวกับทิศทางตลาดโดยรวมและทิศทางของมันเป็นขาลง คุณก็จะเสียเงินไปจำนวนมากเหมือนกัน
นอกจากนี้ ถ้าคุณกำลังอยู่ในตลาดกระทิง คุณจำเป็นจะต้องรู้ว่ามันเป็นช่วงแรกหรือเป็นช่วงหลังๆแล้ว และจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าตลาดกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนั้น เช่น มันกำลังแข็งแกร่งหรือกำลังอ่อนแออยู่
วิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณในการระบุทิศทางของตลาดก็คือการติดตาม แปลผล ทำความเข้าใจและดูอย่างละเอียดที่ชาร์ทรายวันของค่าเฉลี่ยของตลาดหลักๆสามหรือสี่ตลาด และการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณการซื้อขายของพวกมันในแบบรายวัน
ตลาดโดยรวม (general market) หมายถึงดัชนีตลาดที่ถูกนำมาใช้บ่อยที่สุดในอเมริกา ซึ่งตลาดเหล่านี้จะบอกถึงความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของภาวะการเทรดโดยรวมในแต่ละวัน และสามารถที่จะเป็นข้อบ่งชี้ที่เร็วที่สุดในการระบุแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่ ตัวอย่างตลาดรวม เช่น
1. S&P 500 เป็นดัชนีที่กว้างกว่าและทันสมัยกว่าดัชนีดาวโจนส์
2. The Nasdaq composite ประกอบด้วยบริษัทที่อายุน้อยกว่า มีนวัตกรรมที่ดีกว่าและมีการเติบโตที่รวดเร็วกว่า
3. The Dow Jones industrial average ประกอบด้วยหุ้นใหญ่ 30 ตัวที่มีการเทรดกันอย่างกว้างขวาง
4. The NYSE composite เป็นดัชนีแบบปรับฐานน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของหุ้นทุกตัวที่มีรายชื่ออยู่ในตลาด
ช่วงของวัฎจักรตลาดหุ้น ซึ่งนักลงทุนควรจะทำความเข้าใจว่าวงจรปกติของธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร
โดยทั่วไปตลาดหมีมักจะสิ้นสุดในขณะที่ธุรกิจยังคงอยู่ในขาลง เพราะว่าหุ้นมีการคาดการณ์อนาคตหรือ discounting ในอีกหลายเดือนข้างหน้าทั้งหมดเข้ามาไว้ในราคาหุ้นแล้ว
ตลาดหุ้นเป็นตัวบ่งชี้ล่วงหน้า (leading indicator) ของภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาล
ทำนองเดียวกัน ตลาดกระทิงมักจะไปถึงจุดสูงสุดและตกลงมาก่อนที่การถดถอยทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้น ทำให้การมองตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจจึงเป็นวิธีที่แย่ในการระบุว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะซื้อหรือขายหุ้นนั่นเอง
การดูที่ดัชนีตลาดหลักๆเป็นวิธีที่ตรง ใช้ได้ผลจริงและมีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับการวิเคราะห์พฤติกรรมตลาดและการะบุทิศทางของมัน
เมื่อตลาดโดยรวมขึ้นไปถึงจุดสูงสุด คุณจะต้องขายออกมาเพื่อที่อย่างน้อยจะได้มีเงินสดเพิ่มขึ้นและออกมาจากมาร์จินเพื่อที่จะปกป้องบัญชีของคุณ
คุณจะต้องรักษากำไรที่คุณสร้างขึ้นมาในระหว่างตลาดกระทิงให้ได้มากที่สุดแทนที่จะถือการลงทุนของคุณไปเรื่อยๆตลอดทางขาลงในช่วงตลาดหมีที่ยากลำบาก
ถ้าคุณถือหุ้นในตลาดหมี คุณอาจจะต้องติดอยู่ในหุ้นที่เสียหายซึ่งอาจจะไม่สามารถกลับมาที่จุดสูงสุดเดิมของมันได้อีกเลย
หลังจากที่คุณได้เห็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนตัวแรกๆว่าตลาดมาถึงจุดสูงสุดแล้วอย่าได้รีรอ ให้ขายออกไปเร็วที่สุดก่อนที่ภาวะอ่อนแอที่แท้จริงจะเกิดขึ้นมา ซึ่งเมื่อตลาดมาถึงจุดสูงสุดแล้วและเริ่มจะกลับตัว ให้เราปรับพอร์ตมาถือเงินสด 25%หรือมากกว่านั้น
โดยทั่วไป มันจะดีกว่าที่จะไม่ตั้งคำสั่งหยุดขาดทุนไว้เพราะคุณกำลังเปิดไพ่ในมือให้คนทำราคาตลาดรู้และอาจจะทุบหุ้นลงมาเพื่อเขย่าเอาคนที่ตั้งจุดหยุดขาดทุนไว้ แต่ให้คุณติดตามหุ้นของคุณอย่างใกล้ชิดและรู้ล่วงหน้าว่าที่ราคาเท่าไหร่ที่คุณจะขายมันออกไป
การจะรู้ว่าตลาดเริ่มเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว ให้สังเกตว่าดัชนีจะดูชะลอตัวลงแต่ปริมาณการซื้อขายของตลาดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเรียกว่า"ปริมาณการซื้อขายที่สูงโดยที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของราคาขึ้นไป"
การปิดสถานะหุ้นที่ไกล้ๆจุดสูงสุดของตลาดโดยทั่วไปแล้วจะเกิดขึ้นสามถึงหกวันในช่วงเวลาสี่หรือห้าสัปดาห์
สัญญาณ 3 อย่างที่บอกว่าการพยายามจะเด้งกลับขึ้นมานั้นล้มเหลว
1. ดัชนีมีราคาสูงขึ้นแต่มีปริมาณการซื้อขายที่ต่ำลงเรื่อยๆ
2. ค่าเฉลี่ยตลาดมีการเพิ่มขึ้นสุทธิของราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า
3. ค่าเฉลี่ยตลาดฟื้นตัวกลับขึ้นมาน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการตกลงมาในครั้งแรกจากจุดสูงสุดในระหว่างวันเดิมของมัน
ตัวบ่งชี้ที่สำคัญอันดับสองรองจากค่าเฉลี่ยตลาดรายวัน ก็คือพฤติกรรมของหุ้นที่เป็นผู้นำตลาด ที่จะบอกถึงจุดสูงสุดของตลาด เช่น การทะลุขึ้นจากรูปแบบฐานราคาระยะที่สามหรือสี่ ซึ่งอาจจะมีการขึ้นลงของราคาที่ดูกว้างและหลวมกว่า
การที่เราเริ่มเห็นหุ้นที่เคยล้าหลังซึ่งมีราคาและคุณภาพต่ำกว่าเริ่มมีการขยับราคาขึ้น อาจจะบอกได้ว่าใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของตลาดแล้ว
วิธีอื่นๆในการระบุจุดกลับตัวที่สำคัญของตลาด
1. มองหา Divergence ของค่าเฉลี่ยที่สำคัญ
2. ปริมาณของ option ในช่วงใดช่วงหนึ่งจะพอบอกได้ว่าการคาดหวังตลาดต่อจากนี้เป็นอย่างไร เช่น ถ้า call option มากกว่า put option ก็จะมีความดาดหวังราคาที่สูงขึ้น
3. การแปลผลเส้นอัตราส่วนหุ้นที่ขึ้นต่อหุ้นที่ลงซึ่งถูกประเมินค่าไว้สูงเกินไป
4. การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการธนาคากลาง อัตราดอกเบี้ยนโยบาย
5. การเปลี่ยนแปลงรายชั่วโมงของดัชนีตลาดและปริมาณการซื้อขาย
6. การเจอ overbought และ oversold
7. Upside/downside volume
8. เปอร์เซนต์ของเงินทุนก้อนใหม่ที่เข้ามาในกองทุนเพื่อการเกษียณของบริษัท
9. ตัวบ่งชี้ของหุ้นกลุ่ม defensive หรือเปอเซ็นต์ของหุ้นกลุ่ม defensive หรือกลุ่มที่ล้าหลังที่กำลังทำจุดสูงสุดใหม่
กุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นไม่ใช่การคาดการณ์หรือการรู้ว่าตลาดกำลังจะทำอะไร แต่มันคือการรู้และการเข้าใจว่าตลาดได้ทำอะไรไปแล้วจริงๆในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาและมันกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้
สามารถอ่านบทอื่นๆได้จาก https://www.blockdit.com/series/5ed87a4be246c20cc9714e53

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา