18 มิ.ย. 2020 เวลา 16:23 • ปรัชญา
"เต่าบนหิ้ง" V "เต่าในบึง"
เมื่อชีวิต มีแค่การตื่นขึ้นมาก็เห็นมัน เมื่อหลับก็หายไป เราควรจะใช้ชีวิตที่มีอยู่ในโลกนี้ยังไง จึงจะคุ้มค่าที่สุด
เครดิตภาพ: https://www.คลังสมุนไพร.com
จวงจื่อ เป็นปราชญ์ที่มีความรู้มีฝีมือ หนึ่งในปราชญ์โบราณผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิเต๋า มีชีวิตอยู่ระหว่างยุคสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก เมื่อประมาณ 2,300 ปีที่ล่วงมา (475-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
วันหนึ่งเจ้านครที่ปกครองแคว้นของ จวงจื่ออาศัยอยู่ ส่งคนมาเทียบเชิญ มาที่บ้านของจวงจื่อ เพื่อเชิญเขาไปเป็นนายกรัฐมนตรี
ลองนึกภาพสิครับว่าถ้าเป็นเรา กำลังขุดดินปลูกต้นไม้ ปลูกผักอยู่หน้าบ้านดีๆ อยู่ก็มีรถเบ้นซ์คันใหญ่ยาวมาจอด ไม่ใช่คันเดียวนะมาเป็นขบวน
เสร็จแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ใส่สูท แต่งตัวเต็มยศ ประคองจดหมายเปิดผนึก มาเชิญเราไปเป็นนายกรัฐมนตรี... แทนนายกคนปัจจุบัน ลองนึกภาพตามว่า เราควรจะทำตัวยังไง
จวงจื่อ /เครดิตภาพ: https://mgronline.com
จวงจื่อก็ได้รับเทียบเชิญให้ไปเป็นมุขมนตรี
ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็จะประมาณ นายกรัฐมนตรี คือการปกครองของจีนสมัยก่อนจะมีเจ้านครเหมือนกับพระราชา
โดยพระราชาจะไม่บริหารงานด้วยพระองค์เอง แต่จะมีคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าบริหารงาน ถ้าแปลตามภาษาอังกฤษของตำแหน่งที่ว่านี้คือ prime minister แล้วก็จะมี minister คือรัฐมนตรีดูแลกระทรวงต่างๆ ก็ว่ากันไป
เพราะงั้นตำแหน่งที่เขามาเชิญให้จวงจื่อไปเป็นถ้าเทียบกับบ้านเราเวลานี้ก็คือ นายกรัฐมนตรีนั่นเอง
กระทันหันแบบนี้ จวงจื่อก็เลยขอตั้งสติก่อนล่ะ
หลังจากที่ตั้งหลักได้ก็ได้สนทนากับผู้มาเทียบเชิญ ซึ่งก็เป็นผู้อาวุโสและมี ความรู้ความสามารถพอสมควร คือพระราชาจะส่งใครไปเชิญใครเขาก็ต้องส่งคนที่มีความรู้มีวาทะศิลป์ เป็นปราชญ์สมศักดิ์ศรีกัน แต่ว่าก็ต้องเอาคนที่อาวุโสกว่าคือแก่กว่านั่นแหละ คือเกรงใจให้เกียรติกัน ว่างั้น...
ความฝันของจวงจื่อ/ เครดิตภาพ : https://www.matichonweekly.com
จวงจื่อก็เลยคุยกับคนที่มาเชิญคนนั้น ซึ่งเป็น ข้าหลวงคนสำคัญคนหนึ่งของราชสำนักว่า....
สมมุติมีเต่าอยู่ตัวหนึ่ง เป็นเต่าโบราณ มันอาศัยอยู่ในบึงใหญ่ มันก็มีชีวิตที่สงบสุข อยู่ในบึง วันหนึ่งก็มีคนจับเต่าตัวนั้นมา แล้วก็ฆ่ามันให้ตาย
เพื่อที่จะเลาะเอากระดองของมัน มาทำเป็น"กระดองศักดิ์สิทธิ์"
หลังจากที่ฆ่าและเลาะกระดองผ่านกระบวนการขั้นตอนแล้ว
ทำพิธีสถาปนาเต่าที่ตายไปแล้วตัวนั้น ให้เป็น"เต่าศักดิ์สิทธิ์ประจำรัฐ" เอาขึ้นหิ้งบูชาไว้ในศาลจ้าว
คนในรัฐนั้นบูชาเต่าตัวนี้ทั้งหมด แต่มันเป็นเต่าที่ตายแล้ว
เจ้าเต่าที่ตายแล้วนี้เต็มไปด้วยเกียรติยศ มีคนเคารพนับถือ เซ่นไหว้
เครดิตภาพ : http://uauction4.uamulet.com
จวงจื่อถามกับผู้ที่มาเทียบเชิญว่า ถามจริงๆ ถ้าเป็นเต่าตัวนี้
"ท่านอยากจะเป็นเต่าที่อยู่ในบึง หรือว่าเป็นเต่าที่อยู่บนหิ้งแบบนั้น"
คนฟังก็บอกว่า"ผมก็อยากจะอยู่ในบึงสิครับ"...
ซึ่งพอผู้เทียบเชิญตอบแบบนั้น จวงจื่อ จับตราเทียบเชิญนั้นยื่นส่งคืนให้เลย...
ประมาณว่า "ขอให้ผมอยู่ในบึงต่อไปเถิด!"...
ประเด็นคือจวงจื่อปฏิเสธที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้หลายท่านก็อาจจะมีความเห็นหลากหลาย บอกแหมมๆๆ
ถ้าเป็นเราอย่าว่าแต่ส่งเทียบเลย ขนขวายอยากจะเป็นกันอยู่ละอุตส่าห์สั่งสมทุนตั้งพรรคการเมืองหาเสียงอะไรต่างๆนาๆ
ถ้าเป็นไปได้ก็จะซื้อเสียงล่ะ จะได้มีเสียงมากแล้วก็ตั้งรัฐบาลได้...
ชาติหนึ่งจะได้เป็นนายกมันไม่ได้เป็นกันง่ายๆบ่อยๆซะที่ไหนกัน ไหนๆก่อนตายขอให้ได้เป็นนายกก่อนเถิดทำนองนี้ หลายคนในโลกก็อาจจะคิดแบบนี้
เครดิตภาพ: https://teen.mthai.com
สิ่งที่จวงจื่อคิดเป็นอีกแบบ คือ สมมุติว่ารับเป็นนายกรัฐมนตรีชีวิตเราก็จะเปลี่ยน มันเหมือนกับเต่าที่อยู่บนหิ้ง
คนที่อยู่สูงเท่าไหร่ อยู่ท่ามกลางการสมมุติ ท่ามกลางการสถาปนาเท่าไหร่นั้น ในทัศนะของจวงจื่อถือว่าเป็นคนที่ค่อยๆตายลงไปทีละน้อยทีละน้อย
ตำแหน่งสูงเท่าไหร่ก็ตายสูงเท่านั้น! ดังนั้นคนที่อยู่สูงสุดคือพระจักรพรรดิ์ในทัศนะของจวงจื่อคือตายสนิทเลยนั่นเอง....
ทำหรือพยายามคิดอะไรอย่างที่อยากจะทำก็ไม่สะดวกอย่างที่ควรจะเป็นนัก เพราะชีวิตทั้งชีวิตจะถูกครอบงำ อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์พิธีกรรมเกือบทั้งหมดว่างั้น...
แน่นอนครับ การไม่รับตำแหน่งสูงที่เขาเอามาให้ถึงที่ มันก็ทำให้เสียโอกาสบางอย่าง คล้ายๆกับชาดกของทางพุทธศาสนา
เรื่องพระเตมีย์ฯ ที่พยายามแสดงตัวว่าเป็นคนไม่สมประกอบ แกล้องเอ๋อ เป็นใบ้ เพื่อจะไม่ได้ต้องเป็นกษัตริย์
เพราะระลึกชาติจำได้ว่าเมื่อเป็นกษัตริย์ในชาติก่อน ต้องทำหน้าที่ของผู้ปกครอง เช่นสั่งประหารชีวิตคน แล้วก็ทำให้ตัวเองต้องไปตกนรก ซึ่งก็ยังจำได้อยู่ว่าอยู่ในนรกนั้นมันทุกข์ทรมานแสนสาหัสยังไงบ้าง
พระเตมีย์/ เครดิตภาพ: https://thebuddhapictures.blogspot.com
พอมาชาตินี้ก็กำลังจะย้อนไปสู่สภาวะที่จะต้องประสบ คือเป็นกษัตริย์อีกแล้วก็จะเวียนไปตกนรกอีก ก็เลยหาวิธีการโดยการแกล้งทำตัวเป็นคนไม่สมประกอบ
ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังพระเตมีย์ฯ ชาดกนั้น คล้ายๆกับนิทานเซนเรื่องเต่าของจวงจื่อ
พระเตมีย์นั้นเป็นเจ้าของชีวิตตนเอง คนอื่นๆก็มีชีวิตที่จะต้องดูแลของแต่ละคนไป ต้องดูแลตัวเอง เราไปดูแลชีวิตคนอื่นไม่ได้ ไปทำแทนเขาไม่ได้
ทุกคนต้องดูแลชีวิตของตนเอง
เครดิตภาพ: https://www.nicetofit.com
เมื่อเราต้องจัดการและดูแลชีวิตตนเอง ก็ต้องถามสิครับว่าเรามีชีวิตอีกไม่นาน ไม่รู้ว่าหลับแล้วไม่ตื่นอีกวันไหน พระเตมีย์ก็คิดว่าถ้าตอบโจทย์นี้ ก็ต้องไม่เป็นกษัตริย์ ทำไมที่เราจะต้องมาทำหน้าที่บริหารงานดูแลบ้านเมือง เป็นผู้ปกครองคนอื่นทำไมเราต้องทำอย่างนั้น.... จวงจื่อก็คงคิดแบบนั้น
การคิดแบบนี้มันก็ดีในแง่ปัจเจก หรือเป็นผลดีส่วนบุคคลไป
แต่คิดว่ามีข้อเสียตรงที่ว่า มันอธิบายในเชิงปรัชญาสังคมไม่ได้ว่า...
ถ้าคนทุกคนคิดแบบนี้หมด ก็ไม่มีใครเป็นนายกฯ ไม่มีใครเสียสละมาปกครองมาบริหารประเทศ ไม่มีใครมารักษากฎหมาย ไม่มีใครยอมเป็นผู้พิพากษา ไม่มีใครยอมเป็นตำรวจทหารสิ ทุกคนก็จะปลีกวิเวกกันหมด!....
แล้วบ้านเมืองจะอยู่ยังไงล่ะ...
คำถามนี้ก็คงฝากให้คิดพิจารณากัน
ประเด็นการปฏิเสธตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจวงจื่อก็สอดคล้องกับจุดตั้งต้นของปรัชญาของจวงจื่อเองซึ่งตีความว่าอยู่ในสายปรากฎการนิยม(Phenomenology)
เครดิตภาพ: https://photos.com
เพราะงั้นพวกที่เชื่อแบบนี้ก็จะมีบุคลิกที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปผูกโยงกับสิ่งที่โลกสมมุติ เช่น ตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งทางการบริหาร พอใจที่จะเป็นนักปราชญ์ เงียบๆเหมือนเต่าอยู่ในบึง...
แต่คนส่วนใหญ่ในโลกเท่าที่สังเกตุ ก็มักจะเลือกที่จะเป็นเต่าบนหิ้ง ช่วงที่มียศมีฐานะตำแหน่งก็เป็นคนสำคัญ เมื่อมีอำนาจก็จะมีคนเข้าหา มีลาภสักการะ มีคนน้อบน้อมประจบประแจง สอพลอ
เครดิตภาพ: http://raweewansinghadash.blogspot.com
แต่เมื่อลงจากตำแหน่งแล้ว ทุกอย่างที่ว่ามานั้นก็จะลดลงหรือไม่ก็กลับกันอย่างสิ้นเชิง ช่วงที่มีอำนาจก็แบบหนึ่ง วันที่หลุดจากอำนาจก็จะอีกอย่างหนึ่ง มันก็เป็นอย่างนั้น โอบาม่ามาเดินสนามหลวงวันนี้ก็คงไม่มีคนสนใจ ดาราดังๆติ่งเกาหลีที่เคยคลั่งไคล้วันหนึ่งก็หมดยุค
แต่จวงจื่อบอกว่า ถ้าเราเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เช่น อาจารย์หรือนักเขียนบางคนที่เราชื่นชอบอ่านงานของเขา พวกนี้เหมือนเต่าอยู่ในบึง มีศักดิ์ศรีมีความเป็นธรรมชาติตลอดเวลา
คนเหล่านี้ไม่เคยหลุดจากตำแหน่ง
เราอ่านหนังสือเขา ติดตามงานเขา เราจะนับถือเขาตลอดเวลา ลายเซนต์เขาจะทรงคุณค่าตลอด ในทัศนะของจางจื้อบอกว่า คนเราควรจะใช้ชีวิตแบบนี้แหละ...
เราเป็นได้ทุกอย่างครับ ช่างฝีมือ วิศวะ โปรแกรมเมอร์ ยูทูปเบอร์ เป็นคนขับแท็กซี่ ขายอาหาร หรือเป็นอะไรก็ได้ที่เคารพตนมีฝีมือในตนเอง มีรายได้ที่สุจริตจากงานของเรา
เราก็เป็นเต่าอยู่ในบึง เต่าตัวใหญ่ตัวเล็กตัวน้อยก็ไม่สำคัญ
แต่ถ้าหากเราขนขวายหลุดจากสภาวะนั้นด้วยความเข้าใจว่าจะต้องเป็นบางสิ่งบางอย่าง เช่นขับแท็กซี่อยู่ดีๆก็ขยับไปเป็นประธานสหกรณ์แท็กซี่แล้วเล่นการเมืองดีกว่ามั้ยเรา...
เครดิตภาพ: ECT Thailand
จับผลัดจับผลูได้เป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงแรงงาน มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง เมื่อพอหลุดจากตำแหน่งก็คงเหมือนเดิม ในทัศนะของจวงจื่อ นี่คือชีวิติที่ไม่มั่นคง
แต่ถ้าเราเป็นคนที่ทำงานดี รับผิดชอบ รักครอบครัวมีความสุขกับงาน เราก็อยู่ของเรามีความมั่นคง ปรัชญาของจวงจื่อมีแนวคิดและสอนให้เราเป็นคนแบบนั้น
เต่าในสองสถานะ คือ"เต่าในบึง" และ"เต่าที่อยู่บนหิ้ง" เราอยากจะเป็นเต่าชนิดไหน สุดแล้วแต่ใจจะเลือกครับ
เครดิตภาพ: https://www.khaosod.co.th
บทความแนะนำสั้นๆ "ความฝันของจวงจื่อ"
แหล่งอ้างอิง
คัมภีร์จวงจื่อ : มรรรควิถีของจางจื้อ: มนุษย์ที่แท้
ทศชาติชาดก :เตมียชาดก
-วิรุฬหก-

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา